Power Fx คืออะไร : 20 ฟังก์ชันใช้บ่อยและตัวอย่างการใช้งาน (Power Apps)

Power Fx คือภาษาการเขียนสคริปต์ที่ใช้ในการสร้างและแก้ไขแอปพลิเคชันใน Microsoft Power Platform ง่าย ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้เริ่มต้นหรือผู้พัฒนามืออาชีพ
power fx cover 1
ทางลัด: เลือกอ่านเฉพาะเรื่องที่อยากรู้

Power Fx คืออะไร? เป็นภาษาโปรแกรมที่ใช้สำหรับการสร้างแอปพลิเคชันใน Microsoft Power Apps ซึ่งภาษานี้สร้างขึ้นมาให้ง่ายต่อการใช้งาน และสามารถสร้างแอปพลิเคชันได้อย่างมีประสิทธิภาพ วันนี้เราจะมาดู 20 ฟังก์ชันที่ใช้บ่อยใน Power Fx พร้อมตัวอย่างการใช้งานครับ

Power apps Screen 1

Quick Suggest

ถ้าสนใจอยากรู้เพิ่มเติม ขอแนะนำบทความ

Power Fx คืออะไร เข้าใจแนวคิดหลักของ Power Fx

Power Fx คือ ภาษาการเขียนสคริปต์ที่ใช้ในการสร้างและแก้ไขแอปพลิเคชันใน Microsoft Power Platform หนึ่งในหลักการสำคัญของ Power Fx คือมันทำให้การพัฒนาแอปพลิเคชัน low-code มีความเป็นไปได้ ทำให้ผู้ใช้ทั่วไปสามารถสร้างแอปพลิเคชันที่ทรงพลังได้โดยไม่จำเป็นต้องมีทักษะในการเขียนโค้ด

หนึ่งในคุณสมบัติที่สำคัญของ Power Fx คือมีความคล้ายคลึงกับ Excel ทั้งในเรื่องของภาษาและวิธีการทำงาน หากผู้ใช้ที่มีประสบการณ์ใน Excel จะสามารถเรียนรู้และใช้งาน Power Fx ได้ง่าย โดย Power Fx มีความยืดหยุ่นและสามารถปรับใช้งานได้กับทั้งแอปพลิเคชันที่มีรายละเอียดเยอะและแอปพลิเคชันที่มีรายละเอียดน้อย นอกจากนี้ยังสามารถทำงานร่วมกับเครื่องมือของ Microsoft อื่น ๆ ได้

ซึ่ง Power Fx มีความสามารถในการทำงานร่วมกับระบบข้อมูลทั่วไป ทำให้ผู้พัฒนาสามารถสร้างแอปพลิเคชันที่สามารถทำงานร่วมกับระบบข้อมูลที่มีอยู่แล้วได้ ทำให้การพัฒนาแอปพลิเคชันมีความง่ายและรวดเร็วขึ้น

20 ตัวอย่างสูตร Power Fx ที่ใช้บ่อย ๆ

  • 1. คำสั่ง LookUp

ใช้สำหรับค้นหาและส่งคืนข้อมูลแถวแรกที่ตรงกับเงื่อนไขที่กำหนดจากตารางหรือคอลเลกชันที่กำหนด

				
					LookUp(Employees, Title = "Manager")
				
			

คำสั่งนี้จะค้นหาข้อมูลในตาราง Employees และส่งคืนข้อมูลแถวแรกที่มี Title เป็น “Manager”

  • 2. คำสั่ง Filter

ใช้สำหรับกรองข้อมูลจากตารางหรือคอลเลกชันที่กำหนดให้ตรงกับเงื่อนไขที่กำหนด

				
					Filter(Orders, Price > 1000)
				
			

คำสั่งนี้จะกรองข้อมูลในตาราง Orders และส่งคืนข้อมูลทั้งหมดที่มี Price มากกว่า 1000

  • 3. คำสั่ง Sort

ใช้สำหรับเรียงลำดับข้อมูลในตารางหรือคอลเลกชันตามเงื่อนไขที่กำหนด สามารถเรียงจากน้อยไปหามาก (Ascending) หรือ จากมากไปหาน้อย (Descending)

				
					Sort(Employees, Salary, Descending)
				
			

คำสั่งนี้จะเรียงลำดับข้อมูลในตาราง Employees ตาม Salary จากมากไปน้อย

  • 4. คำสั่ง Patch

ใช้สำหรับสร้างหรือปรับปรุงข้อมูลในตารางหรือคอลเลกชันที่กำหนด

				
					Patch(Products, Defaults(Products), {Name: "New Product", Price: 100})
				
			

คำสั่งนี้จะสร้างข้อมูลใหม่ในตาราง Products ที่มี Name เป็น “New Product” และ Price เป็น 100

  • 5. คำสั่ง Collect

ใช้สำหรับเพิ่มข้อมูลลงในคอลเลกชันที่กำหนด

				
					Collect(Cart, {ProductID: 1, Quantity: 3})
				
			

คำสั่งนี้จะเพิ่มข้อมูลใหม่ในคอลเลกชัน Cart ที่มี ProductID เป็น 1 และ Quantity เป็น 3

  • 6. คำสั่ง CountRows

ใช้สำหรับนับจำนวนแถวข้อมูลในตารางหรือคอลเลกชันที่กำหนด

				
					CountRows(Orders)
				
			

คำสั่งนี้จะนับจำนวนแถวข้อมูลในตาราง Orders

  • 7. คำสั่ง Sum

ใช้สำหรับรวมค่าข้อมูลในคอลัมน์ที่กำหนดจากตารางหรือคอลเลกชัน

				
					Sum(Orders, Price)
				
			

คำสั่งนี้จะรวมค่าข้อมูลในคอลัมน์ Price ของตาราง Orders

  • 8. คำสั่ง Average

ใช้สำหรับคำนวณค่าเฉลี่ยของข้อมูลในคอลัมน์ที่กำหนดจากตารางหรือคอลเลกชัน

				
					ProfitMargin = Average(Students, Score)
				
			

คำสั่งนี้จะหาค่าเฉลี่ยของคอลัมน์ Score ในตาราง Students

  • 9. คำสั่ง Distinct

ใช้สำหรับสร้างคอลเลกชันใหม่จากข้อมูลในคอลัมน์ที่กำหนดโดยไม่รวมข้อมูลที่ซ้ำกัน

				
					Distinct(Employees, Department)
				
			

คำสั่งนี้จะสร้างคอลเลกชันใหม่จากข้อมูลในคอลัมน์ Department ของตาราง Employees โดยไม่รวมข้อมูลที่ซ้ำกัน

  • 10. คำสั่ง Concatenate

ใช้สำหรับรวมข้อความหลาย ๆ ข้อความเข้าด้วยกันเพื่อสร้างข้อความใหม่

				
					Concatenate("Hello", " ", "World")
				
			

คำสั่งนี้จะรวมข้อความ “Hello” และ “World” เข้าด้วยกัน เพื่อสร้างข้อความ “Hello World”

  • 11. คำสั่ง First

ใช้สำหรับส่งคืนข้อมูลแถวแรกจากตารางหรือคอลเลกชันที่กำหนด

				
					First(Employees)
				
			

คำสั่งนี้จะส่งคืนข้อมูลแถวแรกในตาราง Employees

  • 12. คำสั่ง Last

ใช้สำหรับส่งคืนข้อมูลแถวสุดท้ายจากตารางหรือคอลเลกชันที่กำหนด

				
					Last(Orders)
				
			

คำสั่งนี้จะส่งคืนข้อมูลแถวสุดท้ายในตาราง Orders

  • 13. คำสั่ง Remove

ใช้สำหรับลบข้อมูลแถวที่กำหนดจากตารางหรือคอลเลกชัน

				
					Remove(Cart, First(Cart))
				
			

คำสั่งนี้จะลบข้อมูลแถวแรกในคอลเลกชัน Cart

  • 14. คำสั่ง IsBlank

ใช้สำหรับตรวจสอบว่าค่าที่กำหนดมีค่าว่างหรือไม่ ถ้าค่าว่างจะส่งคืน True ถ้าไม่ว่างจะส่งคืน False

				
					IsBlank(SelectedProduct)
				
			

คำสั่งนี้จะตรวจสอบว่า SelectedProduct มีค่าว่างหรือไม่

  • 15. คำสั่ง Lower

ใช้สำหรับเปลี่ยนข้อความที่กำหนดให้เป็นตัวพิมพ์เล็กทั้งหมด

				
					Lower("Hello World")
				
			

คำสั่งนี้จะเปลี่ยนข้อความ “Hello World” เป็นตัวพิมพ์เล็ก “hello world”

  • 16. คำสั่ง Upper

ใช้สำหรับเปลี่ยนข้อความที่กำหนดให้เป็นตัวพิมพ์ใหญ่ทั้งหมด

				
					Upper("Hello World")
				
			

คำสั่งนี้จะเปลี่ยนข้อความ “Hello World” เป็นตัวพิมพ์ใหญ่ “HELLO WORLD”

  • 17. คำสั่ง Mid

ใช้สำหรับเลือกข้อความจากตำแหน่งที่กำหนดและจำนวนตัวอักษรที่กำหนดจากข้อความที่กำหนด

				
					Mid("Hello World", 7, 5)
				
			

คำสั่งนี้จะเลือกข้อความตั้งแต่ตำแหน่งที่ 7 จำนวน 5 ตัวอักษร จาก “Hello World” ซึ่งเป็น “World”

  • 18. คำสั่ง Len

ใช้สำหรับนับจำนวนตัวอักษรในข้อความที่กำหนด

				
					Len("Hello World")ales)
				
			

คำสั่งนี้จะนับจำนวนตัวอักษรในข้อความ “Hello World” ซึ่งเป็น 11

  • 19. คำสั่ง Now

ใช้สำหรับส่งคืนวันที่และเวลาปัจจุบัน

				
					Now()
				
			
  • 20. คำสั่ง Today

ใช้สำหรับส่งคืนวันที่ปัจจุบัน (ไม่รวมเวลา)

				
					Today()
				
			

คำสั่งนี้จะส่งคืนวันที่ปัจจุบัน

Power Fx กับแพลตฟอร์ม Low Code อื่น ๆ

เมื่อเปรียบเทียบ Power Fx กับแพลตฟอร์ม Low Code อื่น ๆ จะเห็นได้ว่า Power Fx มีลักษณะเฉพาะที่ทำให้มันโดดเด่น ที่สำคัญที่สุดคือ Power Fx ถูกออกแบบมาเพื่อให้เหมือนกับ Excel ทั้งในเรื่องของไวยากรณ์และการคำนวณ ซึ่งทำให้ผู้ที่มีประสบการณ์ในการใช้ Excel สามารถสร้างแอปพลิเคชันของตัวเองได้โดยไม่ต้องมีความรู้เกี่ยวกับการเขียนโค้ด อีกหนึ่งคุณสมบัติของ Power Fx คือความสามารถในการทำงานร่วมกับระบบข้อมูลทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นฐานข้อมูล SQL, Excel หรือแม้แต่บริการที่อยู่บนคลาวด์ ทำให้การพัฒนาแอปพลิเคชันมีความง่ายและรวดเร็ว

ก้าวเข้าสู่ Digital Business

ดูผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องได้ที่นี่

Table of Content