No code Low code คืออะไร: 10 เครื่องมือที่ดีที่สุดในปี 2024

ข้อดี-เสียของ ให้คุณได้ตัดสินใจ 10 เครื่องมืออย่าง Power Apps, Bubble, Adalo, OutSystems, Zoho Creator, Appgyver, Betty Blocks, Webflow, Airtable และ Zapier
tool no code low code cover 2
ทางลัด: เลือกอ่านเฉพาะเรื่องที่อยากรู้

เคยสงสัยไหมว่าเทคโนโลยีที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วนี้เปลี่ยนแปลงโลกในรูปแบบไหน? หนึ่งในศาสตร์ที่เติบโตมากที่สุดคือการพัฒนาแอปพลิเคชัน ความน่าทึ่งที่เกิดขึ้นจากการปรากฏของแพลตฟอร์ม No Code Low Code (NCLC) คือการทำให้การพัฒนาซอฟต์แวร์เป็นเรื่องที่ทุกคนทำได้ ไม่จำกัดเฉพาะผู้ที่มีความรู้ทางการเขียนโค้ดเท่านั้น

No Code Low Code คืออะไร

No code / low code คือกระบวนการใหม่ในการพัฒนาซอฟต์แวร์ ที่ทำให้ผู้ที่ไม่มีทักษะในการเขียนโปรแกรมสามารถสร้างแอปพลิเคชันได้ เป็นการยกระดับการทำงานของผู้ใช้ระดับเริ่มต้นให้สามารถสร้างแอปพลิเคชันที่ซับซ้อนได้ ไม่ต้องรอนักพัฒนาซอฟต์แวร์ทำทุกอย่าง

เครื่องมือ no code หรือ low code ทำให้ผู้ใช้สามารถสร้างแอปพลิเคชันด้วยการลากและวาง Component ของ UI, การเชื่อมต่อฐานข้อมูล, การกำหนด workflow และยิ่งไปกว่านั้น ด้วยความทรงจำการจัดการและ interface ที่เป็นมิตร เครื่องมือเหล่านี้ช่วยให้ผู้ใช้ที่ไม่มีทักษะการเขียนโปรแกรมสามารถสร้างแอปพลิเคชันที่มีประสิทธิภาพ และมีฟีเจอร์ที่ซับซ้อนได้

ความยอดนิยมของเครื่องมือ No Code Low Code

ความสวยงามของเครื่องมือ NCLC คือความง่ายและความสะดวกสบายในการใช้งาน เหมือนกับการประกอบของเล่นที่เราชื่นชอบ เราไม่จำเป็นต้องรู้รายละเอียดทางฟิสิกส์ที่ซับซ้อน แค่ปฏิบัติตามคำแนะนำ และเสร็จสิ้น! แอปของคุณพร้อมแล้ว เช่นเดียวกันนี้ NCLC ทำให้ผู้ใช้สามารถสร้างแอปโดยใช้อินเทอร์เฟซแบบลากและวาง และเทมเพลตที่สร้างไว้ล่วงหน้า

10 เครื่องมือ No Code Low Code ยอดนิยมในปี 2024

ในโลกเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนี้ เรามาดูกันว่าเครื่องมือ NCLC อันดับต้น ๆ ที่สร้างคลื่นในปี 2024 คืออะไร

1. Microsoft Power Apps

Microsoft Power Apps เป็นเครื่องมือที่มีความสามารถในการสร้างแอปพลิเคชันที่มีฟีเจอร์มากมายและเป็นมิตรกับผู้ใช้ จากการปรับแต่ง UI ไปจนถึงการเชื่อมต่อกับฐานข้อมูล เครื่องมือนี้ยังได้รับการสนับสนุนอย่างแน่นหนาจาก Microsoft ซึ่งทำให้มั่นใจได้ในความเสถียรและการสนับสนุนที่ยอดเยี่ยม

  • การใช้งานสำหรับธุรกิจขนาดต่าง ๆ

    • ธุรกิจขนาดเล็ก: Microsoft Power Apps สามารถใช้สร้างแอปพลิเคชันที่ง่ายและเบื้องต้นที่ช่วยให้ธุรกิจของคุณมีประสิทธิภาพมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ความต้องการทางเทคนิคและราคาอาจเป็นปัญหาสำหรับธุรกิจขนาดเล็กบางราย
    • ธุรกิจขนาดกลาง: สำหรับธุรกิจขนาดกลาง Microsoft Power Apps เป็นเครื่องมือที่ยอดเยี่ยมในการสร้างแอปพลิเคชันที่มีความซับซ้อนมากขึ้นและที่ต้องการการเชื่อมต่อกับฐานข้อมูลหรือ API อื่น ๆ
    • ธุรกิจขนาดใหญ่: สำหรับธุรกิจขนาดใหญ่ Microsoft Power Apps เป็นเครื่องมือที่สมบูรณ์แบบ ให้คุณสร้างแอปพลิเคชันที่มีความซับซ้อนและเชื่อมต่อกับระบบอื่น ๆ ที่มีอยู่ในองค์กรของคุณ
Power apps 1
  • คุณสมบัติเด่น:

    • เชื่อมต่อได้กับสิ่งที่คุณต้องการ: Microsoft Power Apps สามารถเชื่อมต่อกับฐานข้อมูลหรือ API ได้หลากหลาย ทำให้คุณสามารถปรับแต่งแอปพลิเคชันของคุณตามความต้องการได้
    • สร้าง UI ที่ทันสมัย: ด้วยความสามารถในการสร้าง UI ที่มีประสิทธิภาพและทันสมัย แอปพลิเคชันของคุณจะสามารถแข่งขันกับแอปพลิเคชันที่สร้างด้วย code ได้
    • การสนับสนุนจาก Microsoft: Microsoft มีช่องทางการสนับสนุนหลายรูปแบบ ทั้งคู่มือการใช้งาน, ฟอรัม และความช่วยเหลือออนไลน์
  • จุดด้อย:

    • การตั้งค่าที่ซับซ้อน: ในบางกรณี การตั้งค่าและการปรับแต่ง Microsoft Power Apps อาจซับซ้อนและต้องการความรู้ทางเทคนิค
    • ราคา: สำหรับธุรกิจขนาดเล็ก ราคาของ Microsoft Power Apps อาจมีค่าสูงกว่าเครื่องมือ no code/low code อื่น ๆ
    • การเรียนรู้: อาจต้องใช้เวลาในการค้นคว้าและเรียนรู้เพื่อทำความเข้าใจและใช้งาน Microsoft Power Apps ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

2. Bubble

Bubble ให้ประสบการณ์ในการพัฒนาแอปที่ราบรื่น ด้วยเครื่องมือลากและวางที่ทำให้ผู้ใช้สามารถออกแบบแอปของตนเองอย่างที่ต้องการ มีเทมเพลตและองค์ประกอบที่หลากหลาย ได้แก่ แบบฟอร์ม, ปุ่ม และแผนที่ ทำให้เรามีความยืดหยุ่นในการออกแบบ

tool no code low code 1.1
  • คุณสมบัติเด่น:

    • การใช้งานที่ง่าย: แม้คนที่ไม่มีพื้นฐานทางเทคนิคก็สามารถสร้างแอปได้ง่าย
    • ความหลากหลาย: สามารถใช้สร้างอะไรก็ได้ตั้งแต่หน้าเว็บพื้นฐานจนถึงแอปที่ฟีเจอร์เยอะแยะ
    • ชุมชนที่แข็งแกร่ง: Bubble มีชุมชนออนไลน์ที่แข็งแกร่ง มีคู่มือและแนะนำเพื่อสนับสนุนผู้ใช้ใหม่
  • จุดด้อย:

    • ข้อจำกัดสำหรับแอปที่ซับซ้อน: แม้จะดีสำหรับการสร้างแอปที่ง่ายถึงปานกลาง แต่อาจไม่พอกับแอปที่ซับซ้อนมาก
    • ประสิทธิภาพ: ประสิทธิภาพของแอปบางอันอาจจะช้าไปเนื่องจากโครงสร้างของ Bubble
    • การเรียนรู้: แม้จะเป็นเครื่องมือแบบไม่ใช้โค้ด แต่อาจจะต้องใช้เวลาในการเรียนรู้และใช้งาน

3. Adalo

Adalo ออกแบบมาเฉพาะสำหรับการสร้างแอปบนมือถือ ให้เครื่องมือและเทมเพลตที่หลากหลาย ทำให้ผู้ใช้สามารถประดิษฐ์แอปมือถือของตนเองได้

tool no code low code 2
  • คุณสมบัติเด่น:

    • มุ่งเน้นที่มือถือ: Adalo เชี่ยวชาญในการพัฒนาแอปบนมือถือ ทำให้เป็นเครื่องมือที่เหมาะสมสำหรับการสร้างแอปมือถือ
    • เทมเพลต: มีเทมเพลตที่ถูกสร้างไว้ล่วงหน้าเพื่อช่วยให้การพัฒนาเร็วขึ้น
    • องค์ประกอบ: ผู้ใช้สามารถเพิ่มองค์ประกอบที่สร้างไว้ล่วงหน้าหรือสร้างของตนเองได้
  • จุดด้อย:

    • การพัฒนาแอปบนเว็บจำกัด: ในขณะที่ดีสำหรับแอปมือถือ ความสามารถในการพัฒนาแอปบนเว็บจำกัด
    • ประสิทธิภาพ: แอปที่ซับซ้อนขึ้นอาจมีประสิทธิภาพที่ไม่ดี
    • ฟีเจอร์ขั้นสูงจำกัด: ฟีเจอร์บางอย่างที่ขั้นสูงอาจไม่มี หรือต้องใช้การรวมกับบริการภายนอก

4. OutSystems

OutSystems เป็นแพลตฟอร์มที่ทรงพลัง ให้ฟังก์ชันที่หลากหลายทั้งสำหรับการพัฒนา No Code Low Code สามารถใช้สำหรับแอปขนาดองค์กรที่มีความซับซ้อน

tool no code low code 3
  • คุณสมบัติเด่น:

    • ความยืดหยุ่น: มีตัวเลือกสำหรับการพัฒนาที่ใช้โค้ดเล็กน้อย และสามารถรวมกับภาษาโปรแกรมอื่นได้
    • ฟีเจอร์ขั้นสูง: มีฟีเจอร์ที่หลากหลายสำหรับการพัฒนาแอปที่มีความซับซ้อน
    • ประสิทธิภาพ: มีเครื่องมือสำหรับการทดสอบและปรับปรุงประสิทธิภาพ
  • จุดด้อย:

    • ราคา: OutSystems อาจจะแพงสำหรับผู้ใช้รายย่อย และเหมาะกับองค์กรที่มีงบประมาณมากขึ้น
    • ความซับซ้อน: เรียนรู้และใช้งานอาจจะซับซ้อนกว่าแพลตฟอร์มอื่น
    • การเชื่อมต่อ: อาจมีปัญหาในการเชื่อมต่อกับระบบฐานข้อมูลหรือบริการภายนอกบางอย่าง

5. Zoho Creator

Zoho Creator คือแพลตฟอร์มพัฒนาที่เน้นทางธุรกิจ ช่วยให้ธุรกิจสามารถสร้างแอปที่สามารถปรับแต่งและทำงานอัตโนมัติต่าง ๆ

tool no code low code 4
  • คุณสมบัติเด่น:

    • มุ่งเน้นทางธุรกิจ: Zoho Creator ถูกสร้างขึ้นด้วยมุมมองทางธุรกิจ ให้คุณสมบัติที่สามารถปรับแต่งและทำงานอัตโนมัติของธุรกิจ
    • การรวม: อนุญาตให้มีการรวมกับแอป Zoho อื่น ๆ และระบบภายนอกอย่างลื่นไหล
    • การรายงาน: แพลตฟอร์มนี้มีความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลและการรายงานที่มีประสิทธิภาพ
  • จุดด้อย:

    • ส่วนต่อประสานกับผู้ใช้งาน (User Interface): ส่วนต่อประสานผู้ใช้ ไม่ใช้งานง่ายเหมือนบางแพลตฟอร์มอื่น ๆ
    • การปรับแต่งที่จำกัด: แม้ว่าจะมีคุณสมบัติหลากหลาย แต่ตัวเลือกการปรับแต่งก็ค่อนข้างจำกัด
    • ประสิทธิภาพ: ผู้ใช้บางคนรายงานเรื่องปัญหาเกี่ยวกับประสิทธิภาพเป็นครั้งคราว

6. Appgyver

Appgyver ช่วยให้ผู้ใช้สร้างแอปสำหรับแพลตฟอร์มต่าง ๆ รวมถึง iOS, Android และเว็บ โดยเน้นที่การสร้างแอปที่มีความน่าประทับใจทางภาพ

tool no code low code 5
  • คุณสมบัติเด่น:

    • หลายแพลตฟอร์ม: สนับสนุนการพัฒนาแอปสำหรับหลายแพลตฟอร์ม
    • การปรับแต่ง: ให้ระดับการปรับแต่งที่สูงสำหรับ logic แอป
    • ผู้สร้างที่มองเห็นได้ (Visual builder): ผู้สร้างที่มองเห็นได้ เป็นมิตรและมีประสิทธิภาพ
  • จุดด้อย:

    • ฟังก์ชันหลังบ้านที่จำกัด: ในขณะที่โดดเด่นในการออกแบบ UI การจัดการตรรกะด้านหลังที่ซับซ้อนอาจเป็นที่ท้าทาย
    • Learning curve: ต้องใช้เวลาเข้าใจวิธีการพัฒนาที่ไม่ซ้ำกัน
    • สนับสนุนของชุมชนที่จำกัด: ในขณะที่ยังค่อนข้างใหม่ การสนับสนุนชุมชนแลยมีไม่มากนัก

7. Betty Blocks

Betty Blocks ใช้วิธีการพัฒนาแบบบล็อก เพื่อให้แนวทางการสร้างแอปที่ไม่ซ้ำกัน

tool no code low code 6
  • คุณสมบัติเด่น:

    • วิธีการที่ไม่ซ้ำกัน: วิธีการพัฒนาแบบบล็อกที่ใช้ง่ายต่อการเรียนรู้
    • การทำงานร่วมกัน: แพลตฟอร์มนี้ถูกออกแบบมาเพื่อการทำงานร่วมกัน ทำให้เหมาะสำหรับโปรเจกต์ทีม
    • การพัฒนาอย่างรวดเร็ว: ช่วยให้สามารถพัฒนาและปรับใช้แอปลิเคชันได้อย่างรวดเร็ว
  • จุดด้อย:

    • ค่าใช้จ่าย: ค่อนข้างแพง โดยเฉพาะสำหรับธุรกิจขนาดเล็กและนักพัฒนาบุคคล
    • ความยืดหยุ่นที่จำกัด: ในขณะที่วิธีการแบบบล็อกทำให้การพัฒนาง่ายขึ้น แต่ก็จำกัดความยืดหยุ่น
    • Learning curve: แม้ว่าจะง่าย แต่อาจใช้เวลาเข้าใจวิธีการที่ไม่ซ้ำกัน

8. Webflow

Webflow ให้เครื่องมือในการออกแบบ สร้างและเปิดตัวเว็บไซต์ที่ตอบสนองอย่างมองเห็นได้ เป็นตัวเลือกแรกของนักออกแบบที่ต้องการควบคุมทุกรายละเอียดของเว็บไซต์

  • คุณสมบัติเด่น:

    • ควบคุมการออกแบบ: ให้การควบคุมเต็มรูปแบบในการออกแบบเว็บไซต์ โดยไม่จำเป็นต้องเขียนรหัส
    • การตอบสนองและแอนิเมชัน: ให้เครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการสร้างการตอบสนองและแอนิเมชัน
    • CMS และ SEO: รวมถึง CMS และเครื่องมือ SEO ภายใน
  • จุดด้อย:

    • จำกัดเพียงเว็บไซต์: ไม่สนับสนุนการพัฒนาแอปที่เต็มรูปแบบ
    • ค่าใช้จ่าย: ค่าใช้จ่ายอาจสูงสำหรับคุณสมบัติที่ทันสมัยมากขึ้น
    • Learning curve: ซับซ้อนมากกว่าเครื่องมือที่ไม่ต้องเขียนโค้ดอื่น ๆ

9. Airtable

Airtable เป็นแพลตฟอร์มการจัดการที่รวมถึงคุณสมบัติการพัฒนาแอป ทำให้ผู้ใช้สามารถสร้างฐานข้อมูล, แอปเว็บ และการสนทนาอัตโนมัติ

tool no code low code 8
  • คุณสมบัติเด่น:

    • ความยืดหยุ่น: ให้ความยืดหยุ่นในการจัดการและแสดงข้อมูล
    • การรวม: รวมกับเครื่องมือภายนอกอื่น ๆ อย่างราบรื่น
    • ความทันสมัย: มีส่วนต่อประสานผู้ใช้ที่ทันสมัยและเป็นมิตรกับผู้ใช้
  • จุดด้อย:

    • การพัฒนาแอปที่จำกัด: ส่วนของการพัฒนาแอปของยังไม่สมบูรณ์
    • ความยากในการเรียนรู้: บางคนอาจหาว่ายากที่จะเรียนรู้การใช้งาน
    • การสนับสนุนชุมชนที่จำกัด: ยังใหม่และไม่ได้รับการสนับสนุนจากชุมชนในระดับที่จำเป็น

10. Zapier

Zapier เป็นเครื่องมือสำหรับการทำงานอัตโนมัติระหว่างแอปเว็บ รองรับแอปนับพัน รวมถึง Gmail, Slack และอื่น ๆ

tool no code low code 9 1024x574 1
  • คุณสมบัติเด่น:

    • การทำงานอัตโนมัติ: ทำงานอัตโนมัติทำซ้ำ ๆ ช่วยประหยัดเวลาและความพยายาม
    • แอปที่หลากหลาย: รองรับแอปนับพัน
    • ง่ายต่อการใช้งาน: การตั้งค่าและใช้งานสะดวกและง่าย
  • จุดด้อย:

    • ไม่ใช่ผู้สร้างแอปอิสระ: ออกแบบมาเพื่อเชื่อมต่อแอป ไม่ใช่สร้างแอป
    • การปรับแต่งที่จำกัด: ขาดความยืดหยุ่นและคุณสมบัติการปรับแต่งขั้นสูง
    • ค่าใช้จ่าย: สำหรับการเข้าถึงคุณสมบัติพรีเมียมและการทำงานที่มากขึ้น อาจเกิดค่าใช้จ่าย

ข้อดีของการใช้เครื่องมือ No Code Low Code

เครื่องมือ no code และ low code นำเสนอข้อได้เปรียบหลากหลาย โดยเฉพาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการสร้างแอปพลิเคชันอย่างรวดเร็วและไม่ต้องการทักษะการเขียนโค้ดที่ละเอียดอ่อน

  • ปรับปรุงประสิทธิภาพ

เครื่องมือ no code และ low code ทำให้ประสิทธิภาพในกระบวนการพัฒนาเพิ่มขึ้น โดยให้นักพัฒนา และแม้กระทั่งผู้ที่ไม่ใช่นักพัฒนา สามารถสร้างและแก้ไขแอปพลิเคชันอย่างรวดเร็ว ทำให้ธุรกิจสามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงในตลาดหรือภายในองค์กรได้เร็วขึ้น แอปพลิเคชันที่ใช้เวลาหลายเดือนในการพัฒนาสามารถสร้างในสัปดาห์ หรือแม้กระทั่งวัน ทั้งหมดนี้ทำได้ด้วยระบบสร้างที่ใช้การลากและวางของเครื่องมือเหล่านี้ทำให้ทุกคนสามารถพัฒนาแอปพลิเคชันได้ ลดเวลาที่ใช้จากการคิดค้นไปจนถึงการปรับใช้ลงมาอย่างมาก

  • โซลูชันที่ประหยัดต้นทุน

เครื่องมือเหล่านี้ยังเป็นโซลูชันที่ประหยัดต้นทุน โดยลดจำนวนการเขียนโค้ดที่จำเป็น ธุรกิจสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายที่สูงในการจ้างโปรแกรมเมอร์มืออาชีพ ยังสามารถเพิ่มระยะเวลาส่งมอบโครงการได้เร็วขึ้น ซึ่งหมายถึงการลดค่าใช้จ่ายในการพัฒนา นอกจากนี้ความง่ายในการใช้งานของแพลตฟอร์มเหล่านี้สามารถลดค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรม เนื่องจากพนักงานในแผนกต่าง ๆ สามารถใช้งานได้ด้วยคำแนะนำเพียงเล็กน้อย

  • การทำงานร่วมกันที่ดีกว่า

เครื่องมือ no code และ low code ส่งเสริมการทำงานร่วมกันที่ดีกว่าระหว่างฝ่าย IT และส่วนอื่น ๆ ขององค์กร ในฐานะที่เครื่องมือเหล่านี้ง่ายต่อการใช้งาน บุคคลที่ไม่มีทักษะทางเทคนิคสามารถมีบทบาทที่มากขึ้นในการพัฒนาแอปพลิเคชัน นี่ลดปัญหาที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในฝ่าย IT และให้วิธีการที่มีความร่วมมือและรวมเข้าคนมากขึ้นในการสร้างแอปพลิเคชันทางธุรกิจ

ข้อได้เปรียบเหล่านี้ของเครื่องมือ no code และ low code ทำให้เป็นโซลูชันที่น่าสนใจสำหรับธุรกิจขนาดทุกขนาด และทำให้การพัฒนาแอปพลิเคชันเป็นของทุกคน ทำให้สามารถเข้าถึงได้มากขึ้น ในขณะเดียวกันยังเพิ่มความเร็วในกระบวนการพัฒนาและลดค่าใช้จ่าย

ก้าวเข้าสู่ Digital Business

ดูผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องได้ที่นี่

Search
microsoft partner of the year 2024 Quick ERP

Quick ERP รับรางวัล Partner of the Year Awards 2023 – Dynamics 365 Finance

รางวัล 3 ปีซ้อน ได้รับการยอมรับว่าเป็นบริษัทที่มีผลการดำเนินธุรกิจในระดับสูงตลอดปีที่ผ่านมา ตลอดจนมีกลยุทธ์ในการเข้าสู่ตลาดที่สมบูรณ์และไม่เหมือนใคร