Digital Brain คือสิ่งที่ต้องมี แต่ AI คือสิ่งที่ทำให้คุณเหนือกว่าคู่แข่ง

Digital Brain คือสิ่งที่ต้องมี แต่ AI คือสิ่งที่ทำให้คุณเหนือกว่าคู่แข่ง

Digital Brain เชื่อม ERP, IoT Integration, และ Automation & API เข้าด้วยกันอย่าง Seamless ข้อมูล Real-time, ลด Downtime, เพิ่ม Productivity และต่อยอดสู่ AI ที่ตอบโจทย์
Digital Brain คือสิ่งที่ต้องมี แต่ AI คือสิ่งที่ทำให้คุณเหนือกว่าคู่แข่ง

Digital Brain – จุดเริ่มต้นของความได้เปรียบทางธุรกิจ

ทุกองค์กรในปัจจุบันมีข้อมูลเกิดขึ้นมากมาย ตั้งแต่ข้อมูลธุรกรรม การผลิต พฤติกรรมลูกค้า ไปจนถึงข้อมูลจากเครื่องจักรและเซ็นเซอร์ต่าง ๆ แต่การมีข้อมูลเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ หากข้อมูลกระจัดกระจาย แยกอยู่ในแต่ละแผนก หรือไม่มีโครงสร้างที่ดี องค์กรก็จะไม่สามารถนำข้อมูลเหล่านั้นมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้ นี่คือเหตุผลที่ Digital Brain หรือ ศูนย์รวมของข้อมูล กลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกธุรกิจ

Digital Brain คือ โครงสร้างพื้นฐานที่ธุรกิจจำเป็นต้องมีเพื่อให้สามารถแข่งขันได้ คือ “ศูนย์รวมของข้อมูลที่เชื่อมโยง ERP (Digital Core), IoT Integration และ Automation & API ให้ทำงานร่วมกันได้อย่างไร้รอยต่อ” ข้อมูลทั้งหมดจะถูกประมวลผลและไหลเวียนอย่างเป็นระบบเพื่อสนับสนุนการดำเนินธุรกิจ

Digital Brain ไม่ใช่แค่แนวคิดลอย ๆ แต่มันถูกสร้างขึ้นจาก 3 องค์ประกอบหลัก ได้แก่

  1. ERP (Enterprise Resource Planning) → ศูนย์กลางที่รวบรวมข้อมูลธุรกิจให้เป็นระบบ
  2. IoT Integration → นำข้อมูลจากอุปกรณ์และโลกกายภาพเข้าสู่ระบบดิจิทัล
  3. Automation & API → ทำให้ข้อมูลไหลเวียนและประมวลผลได้อย่างอัตโนมัติ

หากธุรกิจมี Digital Brain ที่แข็งแกร่ง ข้อมูลจะถูกจัดระเบียบ สามารถเข้าถึงได้อย่างรวดเร็ว และพร้อมนำไปใช้ในการตัดสินใจ

 “แต่แค่มี Digital Brain ก็ยังไม่เพียงพอ สิ่งที่สร้างความได้เปรียบทางธุรกิจคือ AI”

AI ไม่ใช่แค่เครื่องมือที่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานแบบอัตโนมัติ แต่เป็น “ตัวเร่ง” ที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถ วิเคราะห์ข้อมูล คาดการณ์อนาคต และตัดสินใจได้ฉลาดขึ้น

Digital Brain ที่ดี = นำไปสู่ AI ที่ฉลาด

หากข้อมูลที่ AI ใช้ไม่มีคุณภาพ ไม่ถูกต้อง หรือไม่ทันสมัย AI ก็ไม่สามารถให้ผลลัพธ์ที่แม่นยำได้ องค์กรที่ต้องการใช้ AI เพื่อสร้างความได้เปรียบจึงต้องเริ่มต้นจากการสร้าง Digital Brain ที่แข็งแกร่งก่อน

Seamless Transformation – กุญแจสำคัญที่ทำให้ Digital Brain ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ

แม้ว่าองค์กรจะมี Digital Brain ที่รวบรวมข้อมูลจากทุกแหล่งไว้ด้วยกันแล้ว แต่ ถ้าข้อมูลเหล่านั้นไม่สามารถไหลเวียนได้อย่างอิสระ หรือยังมีอุปสรรคระหว่างแผนกและระบบต่างๆ AI ก็จะไม่สามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ และธุรกิจก็ยังคงล่าช้า ไม่มีความต่อเนื่อง และพลาดโอกาสสำคัญไป

ปัญหาของธุรกิจที่ไม่มี Seamless Transformation

องค์กรจำนวนมากเผชิญปัญหานี้โดยไม่รู้ตัว

  1. ข้อมูลถูกแยกเป็นไซโล (Data Silos) → ข้อมูลจาก ERP ไม่สามารถเชื่อมกับระบบ IoT หรือข้อมูลจาก Automation ไม่ได้ถูกนำไปวิเคราะห์ร่วมกับข้อมูลอื่น
  2. ข้อมูลไม่อัปเดตแบบเรียลไทม์ → ข้อมูลที่ฝ่ายปฏิบัติการ (Operations) ใช้ ไม่ตรงกับข้อมูลที่ผู้บริหารใช้ตัดสินใจ ทำให้เกิดความล่าช้า
  3. ระบบต่างๆ ไม่สามารถเชื่อมต่อกันได้ → ทำให้ต้องใช้แรงงานคนในการถ่ายโอนข้อมูลจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง เสี่ยงต่อความผิดพลาด

“ปัญหาเหล่านี้ทำให้ AI ไม่สามารถทำงานได้อย่างแม่นยำ และธุรกิจเสียเปรียบในการแข่งขัน”

Seamless Transformation เปลี่ยนธุรกิจอย่างไร?

Seamless Transformation คือกระบวนการที่ทำให้ ทุกองค์ประกอบของ Digital Brain ทำงานเชื่อมต่อกันแบบไร้รอยต่อ ข้อมูลสามารถไหลเวียนเชื่อมโยงกันทุกมิติ ตั้งแต่ Back Office (เช่น ERP และการจัดการข้อมูล) ไปจนถึง Front Office & Operations (เช่น IoT และระบบ Automation)

เมื่อ Seamless Transformation เกิดขึ้น

  • AI วิเคราะห์ข้อมูลได้แม่นยำขึ้น เพราะได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและอัปเดตแบบเรียลไทม์

  • ธุรกิจทำงานได้เร็วขึ้น เพราะลดเวลาที่ต้องเสียไปกับกระบวนการที่ไม่จำเป็น

  • ลดข้อผิดพลาดและเพิ่มประสิทธิภาพ เพราะระบบสามารถทำงานได้โดยไม่ต้องพึ่งพาการป้อนข้อมูลด้วยมือ

Seamless Transformation ไม่ใช่แค่การนำเทคโนโลยีมาใช้ แต่เป็นการทำให้ระบบทุกอย่างทำงานร่วมกันได้อย่างลื่นไหล

Seamless Transformation เชื่อมโยง 3 องค์ประกอบหลักของ Digital Brain

เพื่อให้ Digital Brain ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ Seamless Transformation ต้องเกิดขึ้นใน 3 องค์ประกอบหลัก

  • 1. Digital Core (ERP): Single Source of Truth ที่รวมข้อมูลทุกแผนกเข้าด้วยกัน

ERP (Enterprise Resource Planning) เป็นหัวใจสำคัญของ Digital Brain เพราะมันเป็น Single Source of Truth หรือศูนย์กลางข้อมูลที่รวมทุกแผนกในองค์กร เช่น บัญชี การเงิน การผลิต คลังสินค้า การขาย และ HR

การเป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยซอฟต์แวร์ (Software-Driven Company) ไม่ใช่แค่การนำเทคโนโลยีมาใช้ แต่ต้องออกแบบระบบให้ ERP เป็นศูนย์กลางข้อมูล (Digital Core) ทุกกระบวนการต้องรองรับการไหลเวียนของข้อมูลแบบเรียลไทม์ ลดการทำงานซ้ำซ้อนและเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน องค์กรที่ยังทำงานด้วยเอกสารหรือใช้ระบบที่แยกส่วนกัน จะพบว่ากระบวนการทำงานล่าช้า ข้อมูลไม่ตรงกัน และไม่สามารถตอบสนองต่อตลาดได้อย่างทันท่วงที

    • จัดการกระบวนการทำงานหลักทั้งหมด เช่น บัญชี การเงิน สต็อกสินค้า
    • ลดข้อผิดพลาดจากข้อมูลที่กระจัดกระจาย

ตัวอย่าง Digital Core ทำงานอย่างไร?

    • ฝ่ายขายปิดดีล → ERP อัปเดตข้อมูลลูกค้าและสร้างออเดอร์อัตโนมัติ
    • ฝ่ายคลังสินค้าเห็นสต็อกลดลง → ERP แจ้งเตือนให้เติมสินค้า
    • ฝ่ายการเงินตรวจสอบเครดิตลูกค้าแบบเรียลไทม์ ลดปัญหาหนี้สูญ

[ถ้าไม่มี ERP เป็น Digital Core → ข้อมูลในองค์กรจะไม่เป็นระบบ → Digital Brain จะไม่สามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ]

  • 2. IoT: เปลี่ยนอุปกรณ์และเครื่องจักรให้เป็น “แหล่งข้อมูลเรียลไทม์” 

ในอดีต ข้อมูลในองค์กรต้องป้อนเข้าระบบ ERP ด้วยมือ หรืออาจใช้เอกสารกระดาษ ซึ่งทั้ง ช้า ผิดพลาดง่าย และไม่แม่นยำ แต่ปัจจุบัน IoT (Internet of Things) ช่วยให้ข้อมูลจาก เครื่องจักร ยานพาหนะ เซ็นเซอร์ และอุปกรณ์ต่าง ๆ ถูกส่งเข้า ERP โดยอัตโนมัติ

ระบบ IoT ทำให้ธุรกิจสามารถติดตามสถานะ ตรวจจับปัญหา และลดความสูญเสียจากการดำเนินงานที่ไม่มีประสิทธิภาพ การเชื่อมโยงข้อมูลจาก IoT ยังช่วยให้สามารถคาดการณ์แนวโน้ม ปรับปรุงแผนการผลิต และวิเคราะห์พฤติกรรมของสินทรัพย์ในองค์กรได้อย่างแม่นยำ

    • เครื่องจักร, ยานพาหนะ, อุปกรณ์ในคลัง สามารถส่งข้อมูลแบบเรียลไทม์

    • ทำให้ธุรกิจมองเห็น “สถานะปัจจุบัน” ของสินค้าหรือกระบวนการผลิตทันที

ตัวอย่าง IoT ทำงานอย่างไร?

    • โรงงานผลิต → เซ็นเซอร์ IoT ตรวจจับอุณหภูมิและความชื้นของเครื่องจักร แจ้งเตือนก่อนเกิดความเสียหาย

    • ธุรกิจขนส่ง → ระบบ GPS และ IoT ติดตามสถานะของรถบรรทุกแบบเรียลไทม์ ลดเวลาขนส่ง และปรับเส้นทางอัตโนมัติ

    • ค้าปลีก & คลังสินค้า → RFID และ Barcode Scanner ตรวจสอบสินค้าคงคลังโดยไม่ต้องใช้แรงงานคน

[ถ้าไม่มี IoT → ข้อมูลที่ใช้ตัดสินใจอาจเป็นข้อมูลเก่า ข้อมูลขาดหาย หรือไม่สามารถนำไปใช้กับ AI ได้]

  • 3. API & Automation: เร่งสปีดธุรกิจและลดงานที่ไม่จำเป็น 

ข้อมูลที่มีอยู่จะไม่มีประโยชน์ หากยังต้องรอคนมาป้อน รอการอนุมัติ หรือไม่ได้ถูกนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์

API (Application Programming Interface) และ Automation ช่วยให้ข้อมูลสามารถ เชื่อมต่อกันอัตโนมัติ

สามารถลดเวลาการทำงานจากชั่วโมงเป็นนาที และลดต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ระบบอัตโนมัติยังช่วยให้ธุรกิจสามารถดำเนินการซ้ำ ๆ ได้โดยไม่ต้องใช้แรงงานคน เช่น การจัดการคำสั่งซื้อ การออกใบแจ้งหนี้ หรือแม้แต่การตอบกลับลูกค้าอัตโนมัติ

    • API ทำให้ข้อมูลจาก ERP, IoT และระบบอื่น ๆ เชื่อมโยงกันแบบเรียลไทม์

    • Automation ช่วยลดงานซ้ำซ้อน เช่น การป้อนข้อมูล และการอนุมัติเอกสารแบบแมนนวล

    • ธุรกิจสามารถลดระยะเวลาการทำงานจาก ชั่วโมง → เป็นนาที

ตัวอย่าง API & Automation ทำงานอย่างไร?

    • ระบบสั่งซื้อสินค้าอัตโนมัติ → คำสั่งซื้อจากลูกค้าจะถูกส่งเข้า ERP, ระบบขนส่ง และฝ่ายบัญชี โดยอัตโนมัติ → ไม่ต้องให้พนักงานคอยมากรอกข้อมูล

    • AI Chatbot ที่เชื่อมต่อกับ CRM และ ERP → สามารถแจ้งยอดสั่งซื้อ หรือแจ้งเตือนลูกค้าแบบอัตโนมัติ

[ถ้าไม่มี API & Automation → ธุรกิจยังต้องใช้คนจำนวนมากในการป้อนข้อมูล และจะเกิดความล่าช้าในการดำเนินงาน]

Digital Brain & AI – AI ไม่ใช่เวทมนตร์ แต่ต้องมีโครงสร้างรองรับ

ปัจจุบัน AI กลายเป็นคำที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในแวดวงธุรกิจ หลายองค์กรกำลังมองหาวิธีนำ AI มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน แต่ ปัญหาที่แท้จริงคือ AI ไม่สามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพหากไม่มี “โครงสร้างข้อมูล” ที่ดีรองรับ

AI ไม่ใช่เวทมนตร์ ที่ติดตั้งแล้วธุรกิจจะดีขึ้นได้ในทันที

  • AI จะฉลาดได้ → ต้องมีข้อมูลที่ดี
  • AI จะทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ → ต้องมีโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับ
  • และโครงสร้างพื้นฐานที่ว่านั้นก็คือ Digital Brain ซึ่งเป็น ศูนย์รวมของข้อมูล ที่ช่วยให้ AI ทำงานได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ

AI ต้องการ "ข้อมูล" เพื่อเรียนรู้และตัดสินใจ

AI ไม่สามารถคิดเองได้แบบมนุษย์ ทุกการตัดสินใจของ AI ต้องอิงจากข้อมูลที่ได้รับ หากข้อมูลที่ป้อนให้ AI มีข้อผิดพลาด หรือไม่ได้ถูกเชื่อมโยงกันอย่างเหมาะสม AI ก็จะให้คำตอบที่ผิดพลาด หรือทำงานได้ไม่เต็มศักยภาพ

  • ปัญหาหลักที่องค์กรส่วนใหญ่เจอเมื่อพยายามนำ AI มาใช้ คือ:

    1. ข้อมูลกระจัดกระจาย – ข้อมูลของแต่ละแผนกแยกกันทำงาน ไม่มีระบบกลางที่เชื่อมโยงกัน
    2. ข้อมูลล้าสมัย – ข้อมูลที่ AI ใช้เป็นข้อมูลเก่า ทำให้การวิเคราะห์ผิดพลาด
    3. ไม่มีโครงสร้างข้อมูลที่ดี – AI ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลที่ต้องการ หรือข้อมูลไม่ได้อยู่ในรูปแบบที่นำไปใช้ได้

ตัวอย่าง:

    • หากบริษัทขนส่งต้องการใช้ AI วิเคราะห์เส้นทางการขนส่งที่เร็วที่สุด แต่ไม่มีข้อมูลเรียลไทม์จาก GPS หรือ IoT → AI ก็จะให้คำแนะนำที่ไม่ถูกต้อง
    • หากองค์กรต้องการใช้ AI คาดการณ์แนวโน้มยอดขาย แต่ข้อมูล ERP ไม่ครบถ้วน → การคาดการณ์ของ AI ก็อาจผิดพลาดได้

AI ฉลาดเท่ากับข้อมูลที่มันได้รับ – Garbage In, Garbage Out

AI ไม่สามารถทำงานเดี่ยว ๆ ได้ ต้องใช้ร่วมกับ Digital Brain

AI จะทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ก็ต่อเมื่อได้รับข้อมูลที่ถูกต้องจาก Digital Brain

  • AI + Digital Core (ERP): ทำให้ AI มีข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นปัจจุบัน

ERP คือ ศูนย์กลางของข้อมูลธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลทางการเงิน ซัพพลายเชน การผลิต หรือข้อมูลลูกค้า หากไม่มี ERP คอยรวบรวมและจัดระเบียบข้อมูล AI ก็จะไม่มีฐานข้อมูลที่ถูกต้องให้ใช้

ตัวอย่าง:

    • AI วิเคราะห์พฤติกรรมการซื้อของลูกค้า แต่ถ้าข้อมูลใน ERP ไม่สมบูรณ์ หรือไม่ได้อัปเดตแบบเรียลไทม์ → AI ก็อาจแนะนำสินค้าผิด หรือคาดการณ์ยอดขายผิดพลาด

  • AI + IoT Integration: ทำให้ AI เห็นข้อมูลจากโลกกายภาพ

IoT ช่วยให้ AI เข้าถึงข้อมูลที่มาจากอุปกรณ์จริงในโลกกายภาพ เช่น ตำแหน่งสินค้า สภาพอากาศ หรือสถานะเครื่องจักร

ตัวอย่าง:

    • ในโรงงานอุตสาหกรรม AI สามารถตรวจสอบและวิเคราะห์สถานะของเครื่องจักรผ่าน IoT และแจ้งเตือน เมื่อมีแนวโน้มที่เครื่องจักรจะเสีย ก่อนที่ปัญหาจะเกิดขึ้นจริง

  • AI + API & Automation: ทำให้ AI ดำเนินการได้อัตโนมัติ

AI ไม่ควรเป็นแค่ระบบวิเคราะห์ข้อมูล แต่ควร ดำเนินการได้เองโดยอัตโนมัติ API และ Automation ช่วยให้ AI สามารถ สั่งการและปรับเปลี่ยนกระบวนการทางธุรกิจ ได้โดยไม่ต้องพึ่งพามนุษย์

ตัวอย่าง:

    • AI สามารถวิเคราะห์พฤติกรรมของลูกค้าในร้านค้าออนไลน์ และ ส่งโปรโมชั่นเฉพาะบุคคลให้ลูกค้าแบบเรียลไทม์ ผ่านระบบอัตโนมัติ

AI คือข้อได้เปรียบที่แท้จริงของธุรกิจ

ทุกองค์กรสามารถติดตั้ง AI ได้ แต่ไม่ใช่ทุกองค์กรที่สามารถใช้ AI ได้ดี ธุรกิจที่สามารถใช้ AI ได้เต็มศักยภาพ จะได้เปรียบในการแข่งขัน เพราะสามารถ

  • วิเคราะห์ข้อมูลได้แม่นยำขึ้น
  • ตัดสินใจเร็วขึ้น
  • ดำเนินงานได้อัตโนมัติ ลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ

“องค์กรที่มี AI ที่ฉลาดกว่า คือองค์กรที่ได้เปรียบ”

แต่ AI จะฉลาดได้ ต้องเริ่มจาก Digital Brain ที่ดี และ Digital Brain ที่ดี ต้องมี Seamless Transformation ที่ช่วยให้ข้อมูลไหลเวียนได้อย่างไร้รอยต่อ 

Digital Brain – จุดเริ่มต้นของความได้เปรียบทางธุรกิจ

ทุกธุรกิจต้องการความเร็ว ความแม่นยำ และความสามารถในการตัดสินใจที่ดีขึ้นในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แต่ความได้เปรียบที่แท้จริงไม่ได้มาจากการมีข้อมูลมากที่สุด แต่มาจากการใช้ข้อมูลอย่างชาญฉลาดที่สุด

Digital Brain คือโครงสร้างพื้นฐานที่ธุรกิจจำเป็นต้องมีเพื่อให้สามารถแข่งขันได้ มันคือศูนย์รวมของข้อมูลที่เชื่อมโยง ERP (Digital Core), IoT Integration และ Automation & API ให้ทำงานร่วมกันได้อย่างไร้รอยต่อ ข้อมูลทั้งหมดจะถูกประมวลผลและไหลเวียนอย่างเป็นระบบเพื่อสนับสนุนการดำเนินธุรกิจ

แต่ AI คือสิ่งที่สร้างความได้เปรียบที่แท้จริง เพราะ AI คือผู้เปลี่ยนข้อมูลดิบให้กลายเป็นการคาดการณ์ที่แม่นยำ ช่วยให้การตัดสินใจทางธุรกิจมีประสิทธิภาพ และทำให้กระบวนการต่างๆ เป็นอัตโนมัติในระดับที่มนุษย์ทำไม่ได้

หากธุรกิจมี Digital Brain ที่แข็งแกร่ง ข้อมูลก็จะพร้อมใช้งาน AI จะสามารถเรียนรู้ วิเคราะห์ และคาดการณ์ได้อย่างแม่นยำ → นำไปสู่กระบวนการที่เร็วขึ้น ลดต้นทุน และเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ

ดังนั้น Digital Brain ไม่ใช่สิ่งที่ธุรกิจจะมองข้ามได้ มันเป็นรากฐานที่จำเป็นสำหรับการแข่งขัน แต่หากต้องการเป็นผู้นำ ต้องก้าวไปอีกขั้นโดยทำให้ AI ทำงานได้เต็มศักยภาพ นั่นคือสิ่งที่สร้างข้อได้เปรียบที่แท้จริงในยุคของการแข่งขันด้วยข้อมูลและเทคโนโลยี

ก้าวเข้าสู่ Digital Business

ดูผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องได้ที่นี่

BC Line 1.11 1.1 80
Dynamics 365 Business Central
Dynamics 365 business central (Dyn 365 BC) ระบบ ERP จาก Microsoft (เดิม Dynamics nav) ช่วยให้สามารถเข้าถึงข้อมูล Cash Flow และทุกส่วนจากโซลูชันเดียวที่เรียลไทม์
FO Line 1.11 1 80
Dynamics 365 Finance and Operations
Dynamics 365 Finance and Operation ช่วยการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ทางการเงินด้วย AI สร้างกระบวนการทางการเงินแบบอัตโนมัติและเป็นหนึ่งเดียว ลดค่าใช้จ่ายดำเนินการ
Table of Content
Copilot Studio Course 1
🔴มี AI แต่กลัวข้อมูลรั่ว!? ตอบมั่ว ใช้งานไม่ได้!? ✨เปลี่ยน Copilot ให้ฉลาด ปลอดภัย ใช้งานได้จริง!