ในวงการพัฒนาซอฟต์แวร์ คำว่า “Technical debt” หรือ “หนี้ทางเทคนิค” ถูกพูดถึงอย่างบ่อยครั้ง แต่จริง ๆ แล้วหมายถึงอะไร? เช่นเดียวกับหนี้ในเชิงการเงิน หนี้ทางเทคนิคคือความจำเป็นที่ต้องจ่ายถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ในเรื่องของเงินทอง มาดูกันว่าหนี้ทางเทคนิคคืออะไร, ผลที่ตามมา และวิธีการจัดการให้มีประสิทธิภาพ
1. Technical debt - หนี้ทางเทคนิคคืออะไร?
หนี้ทางเทคนิค หรือที่เรียกว่า หนี้ทางโค้ด (code debt) หรือหนี้ทางการออกแบบ (design debt) หมายถึงค่าใช้จ่ายในอนาคตในการแก้ไขบางส่วนของระบบซอฟต์แวร์เนื่องจากการตัดสินใจในช่วงแรก ๆ ในขณะที่การตัดสินใจเหล่านี้อาจมีประโยชน์ในระยะสั้น ๆ แต่ในระยะยาวสามารถนำไปสู่ความซับซ้อนที่อาจจะแก้ไขได้ยาก
สาเหตุของหนี้ทางเทคนิค
หนี้ทางเทคนิคเกิดขึ้นได้ ไม่ใช่แค่การเขียนโค้ดที่ไม่ดีหรือมีความผิดพลาดเท่านั้น มักมาจากการตัดสินใจที่ส่งผลกระทบในระยะยาวของโปรเจกต์ มาดูกันว่ามีสาเหตุอะไรบ้าง
-
-
ทำให้ทันต่อกำหนดเวลาในการส่งผลงาน
-
ในบางครั้ง เพื่อให้ทันกำหนดเวลาส่งงานหรือตอบสนองต่อความต้องการทางธุรกิจ ทีมพัฒนาอาจเลือกที่จะทำสิ่งที่ดีที่สุดในขณะนั้นแทนที่จะพิจารณาถึงผลกระทบในระยะยาว
การเปลี่ยนแปลงความต้องการ
ในขณะที่โครงการกำลังดำเนินการอยู่ ความต้องการทางธุรกิจอาจเปลี่ยนแปลงไป ทำให้โค้ดที่เขียนไว้เมื่อก่อนอาจไม่เหมาะสมอีกต่อไป
การเลือกเทคโนโลยีที่ไม่เหมาะสม
การตัดสินใจเลือกเทคโนโลยีในตอนแรกโดยไม่พิจารณาเหตุผลหลังจากนั้น อาจทำให้เกิดปัญหาในการบำรุงรักษาหรือปรับปรุงในอนาคต
การสื่อสารที่ไม่ชัดเจน
การสื่อสารระหว่างทีมงานหรือการเข้าใจความต้องการที่ไม่ชัดเจน อาจทำให้ทีมพัฒนาเขียนโค้ดที่ไม่ตรงกับความต้องการ
การละเลยการทดสอบ
การไม่มีการทดสอบที่เพียงพอหรือไม่มีการประเมินคุณภาพ สามารถทำให้ปัญหาที่เกิดขึ้นแต่งตั้งได้โดยไม่รู้ตัว
ขาดการอบรมและความเข้าใจ
หากทีมพัฒนาขาดความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรฐานหรือเทคนิคการพัฒนาที่ดีอาจส่งผลให้เกิดหนี้ทางเทคนิค
สาเหตุเหล่านี้ เราสามารถเห็นได้ว่าหนี้ทางเทคนิคเป็นผลสะสมของการตัดสินใจต่าง ๆ และกระบวนการที่ทำในช่วงการพัฒนาซอฟต์แวร์ การรับรู้และเข้าใจสาเหตุที่แท้จริงจะช่วยในการป้องกันและจัดการหนี้ทางเทคนิคในอนาคต
The Debt Metaphor
“หนี้” ในคำว่า “หนี้ทางเทคนิค” ถูกใช้เพื่ออธิบายเกี่ยวกับการตัดสินใจในการพัฒนาซอฟต์แวร์ที่อาจนำไปสู่ปัญหาในอนาคต คล้ายกับการกู้เงินเพื่อใช้จ่ายค่าใช้จ่ายในปัจจุบันแต่ต้องชำระดอกเบี้ยในอนาคต
ยอมเพื่อความรวดเร็ว
คล้ายกับการกู้เงินเพื่อใช้สำหรับธุรกิจหรือการลงทุน การตัดสินใจที่นำไปสู่หนี้ทางเทคนิคมักเกิดขึ้นเมื่อมีความต้องการในการเร่งความเร็วของการปล่อยผลิตภัณฑ์หรือฟีเจอร์ใหม่
การชำระหนี้
หากเราไม่จัดการหนี้ทางเทคนิคในเวลาที่เหมาะสม เราจะต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในการบำรุงรักษาและปรับปรุงโค้ด คล้ายกับการชำระดอกเบี้ยสำหรับหนี้การเงิน
Technical Debt vs. Bad Code
หนี้ทางเทคนิคและโค้ดที่ไม่ดี (Bad Code) อาจดูเหมือนเป็นสิ่งเดียวกัน แต่ในความเป็นจริง มันมีความแตกต่างอย่างชัดเจน
การตัดสินใจและความตั้งใจ
หนี้ทางเทคนิคเกิดจากการตัดสินใจที่ตั้งใจและตระหนักรู้ถึงผลกระทบที่จะตามมา ในขณะที่โค้ดที่ไม่ดีมักเกิดจากความไม่รู้, ความประมาท หรือความขาดทักษะความรู้
การจัดการ
หนี้ทางเทคนิคสามารถจัดการได้โดยการวางแผนในการชำระหนี้ และการประเมินผลกระทบทางธุรกิจ ขณะที่การแก้ไขโค้ดที่ไม่ดีอาจต้องการการเรียนรู้เทคนิคหรือการประยุกต์ใช้เครื่องมือใหม่
ผลกระทบ
ทั้งหนี้ทางเทคนิคและโค้ดที่ไม่ดีมีผลกระทบต่อการบำรุงรักษาซอฟต์แวร์ แต่หนี้ทางเทคนิคมักมีผลกระทบทางธุรกิจที่ชัดเจน (เช่น การเลื่อนกำหนดการการปล่อยผลิตภัณฑ์) ในขณะที่โค้ดที่ไม่ดีอาจทำให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลง
2. ผลของหนี้ทางเทคนิค
หนี้ทางเทคนิค ไม่ว่าจะเกิดจากการตัดสินใจที่ตั้งใจหรือเพราะความล่าช้าในการพัฒนา ทั้งหมดนี้สามารถส่งผลกระทบต่อทีมพัฒนาและผลิตภัณฑ์ได้ในหลาย ๆ ด้าน
การล่าช้าของการปล่อยผลิตภัณฑ์
ความซับซ้อนที่เพิ่มขึ้นและความยากลำบากในการทำงานร่วมกันของระบบจะทำให้ทีมต้องใช้เวลามากขึ้นในการทดสอบและการแก้ไขปัญหา
การเพิ่มค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา
เมื่อหนี้ทางเทคนิคสะสม การแก้ไขปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็อาจจะต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงในส่วนต่าง ๆ ของระบบ ซึ่งอาจจะเสียค่าใช้จ่ายมากขึ้น
ประสิทธิภาพทีมของลดลง
หนี้ทางเทคนิคอาจทำให้การพัฒนาสลับซับซ้อนและยากขึ้น ทำให้ทีมพัฒนามีความรู้สึกว่าก้าวหน้าของพวกเขาลดลง
การเสี่ยงที่จะมีข้อผิดพลาด
โค้ดที่มีหนี้ทางเทคนิคมักมีโอกาสมากขึ้นที่จะมีข้อผิดพลาดหรือปัญหาในการทำงาน ทำให้ต้องมีการทดสอบและการตรวจสอบอย่างระมัดระวัง
ความยากลำบากในการเข้าใจโค้ด
โค้ดที่มีหนี้ทางเทคนิคอาจจะยากต่อการอ่านและเข้าใจ ซึ่งทำให้การเรียนรู้หรือการปรับปรุงโค้ดสำหรับนักพัฒนาใหม่กลายเป็นเรื่องที่ยากขึ้น
ความไม่มั่นคง
ระบบที่มีหนี้ทางเทคนิคสูงมักจะมีโอกาสที่จะเกิดความผิดพลาดหรือปัญหาที่ไม่คาดคิดเป็นพิเศษ
3. การจัดการหนี้ทางเทคนิค
การจัดการหนี้ทางเทคนิคเป็นเรื่องที่สำคัญสำหรับทีมพัฒนาซอฟต์แวร์ อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือการจัดการหนี้ให้เป็นระบบ ดังนี้
การตรวจจับและประเมิน
ก่อนอื่น ทีมต้องรู้ว่ามีหนี้ทางเทคนิคสะสมอยู่เท่าไร นี่อาจเป็นผลมาจากการตรวจสอบโค้ด, การทดสอบ หรือการประเมินสถานะการพัฒนา
การตั้งค่าความสำคัญ
ไม่ใช่ทุกหนี้ที่ต้องแก้ไขในทันที ทีมต้องกำหนดลำดับความสำคัญและผลกระทบต่อธุรกิจ เพื่อที่จะวางแผนการจัดการหนี้ที่มีประสิทธิภาพ
การวางแผนการชำระหนี้
หลังจากนั้น ทีมควรมีการวางแผนเกี่ยวกับวิธีการแก้ไขหนี้ ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงโค้ด, การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีใหม่ หรือการเปลี่ยนแปลงกระบวนการการทำงาน
การจัดสรรทรัพยากร
เพื่อจัดการกับหนี้ทางเทคนิค การจัดสรรทรัพยากร เช่น คน, เวลา และงบประมาณ จำเป็นต้องทำให้เป็นไปตามแผนที่วางไว้
การตรวจสอบและประเมินผล
หลังจากการทำตามแผน ทีมควรมีกระบวนการในการตรวจสอบและประเมินผลว่าการจัดการหนี้ทางเทคนิคได้ผลดีหรือไม่ และพิจารณาวิธีการปรับปรุงในอนาคต
การเรียนรู้และปรับปรุง
ทีมควรเรียนรู้จากการสะสมหนี้ทางเทคนิค และวางแผนเพื่อป้องกันการสะสมหนี้ในอนาคต
ผ่านกระบวนการที่ถูกต้อง ทีมพัฒนาจะสามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงและความท้าทายของธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ และลดการสะสมของหนี้ทางเทคนิคไปในระยะยาว
ตัวอย่าง: การเผชิญกับหนี้ทางเทคนิค: ไลน์ (LINE)
“ไลน์” แอปพลิเคชันการสื่อสารที่มีความนิยมอย่างแพร่หลายในภูมิภาคเอเชีย ไม่ได้ต่างจากซอฟต์แวร์อื่น ๆ ที่ต้องเผชิญกับปัญหาหนี้ทางเทคนิค ดังนี้
การขยายตัวอย่างรวดเร็ว
ก้าวย่างของไลน์ที่รวดเร็วในตอนแรกอาจทำให้ทีมพัฒนาต้องเลือกใช้วิธีการที่ไม่เป็นระบบหรือมีการคิดมาก่อน ทำให้สะสมหนี้ทางเทคนิค
การเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ ๆ
แอปพลิเคชันไลน์มีฟีเจอร์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นไลน์สติกเกอร์, เกม หรือแอปฯ ภายในแอป การเพิ่มฟีเจอร์เหล่านี้อาจส่งผลให้มีการเขียนโค้ดที่ซับซ้อนขึ้น และเพิ่มการสะสมหนี้ทางเทคนิค
การรองรับภาษาและเครือข่ายต่าง ๆ
ไลน์มีผู้ใช้งานในหลายประเทศและรองรับหลายภาษา การมั่นใจว่าทุกฟีเจอร์ทำงานได้อย่างถูกต้องในทุกภาษาและบนเครือข่ายต่าง ๆ อาจนำไปสู่การสะสมหนี้ทางเทคนิค
การปรับปรุงโครงสร้างภายใน
กลยุทธ์การพัฒนาแอปในระยะยาวอาจทำให้ไลน์ต้องการปรับเปลี่ยนหรือปรับปรุงโครงสร้างภายใน ทำให้เกิดหนี้ทางเทคนิคจากโค้ดที่เก่า ๆ และต้องการการปรับปรุง
การรับรองความปลอดภัย
ความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญสำหรับแอปพลิเคชันการสื่อสาร ทีมไลน์ต้องมั่นใจว่าข้อมูลของผู้ใช้งานปลอดภัย อาจต้องตัดสินใจเพื่อความปลอดภัยซึ่งทำให้เกิดหนี้ทางเทคนิค
เหล่านี้เป็นเพียงตัวอย่างที่ทำให้เราเข้าใจว่าแม้แอปพลิเคชันใหญ่และมีความนิยมอย่างไลน์ ก็ยังต้องเผชิญกับหนี้ทางเทคนิคแบบเดียวกับโปรเจกต์อื่น ๆ ที่มีขนาดเล็ก
แนวทางป้องกันหนี้ทางเทคนิคในปี 2023
การพัฒนาซอฟต์แวร์เป็นกระบวนการที่ยุ่งยากและซับซ้อน และการป้องกันหนี้ทางเทคนิคเป็นสิ่งสำคัญที่นักพัฒนาซอฟต์แวร์ควรใส่ใจ เมื่อเราพูดถึงปี 2023 มีเทคนิคและวิธีที่น่าสนใจในการจัดการและป้องกันหนี้ทางเทคนิค ดังนี้
การใช้งาน DevOps
การรวมทีมพัฒนาและทีมดำเนินงานเข้าด้วยกัน เพื่อติดตามและประเมินหนี้ทางเทคนิคอย่างต่อเนื่อง
Automated Testing
การใช้งานการทดสอบอัตโนมัติเพื่อตรวจสอบคุณภาพของโค้ดและป้องกันการเกิดบัคในภายหลัง
Code Review
การทบทวนโค้ดร่วมกันเพื่อตรวจสอบและปรับปรุงคุณภาพของโค้ด
การประยุกต์ใช้งาน Architecture Decision Records (ADR)
การบันทึกการตัดสินใจทางสถาปัตยกรรมเพื่อให้ทีมเข้าใจเหตุผลและสาเหตุของการตัดสินใจ
การสร้างวัฒนธรรม Continuous Learning
การเรียนรู้และปรับปรุงอย่างต่อเนื่องเพื่อป้องกันการเกิดหนี้ทางเทคนิค
การใช้งานเครื่องมือ Static Code Analysis
เพื่อตรวจสอบคุณภาพของโค้ดและป้องกันการเกิดหนี้ทางเทคนิค
การทบทวนและประเมินประสิทธิภาพของระบบ
เพื่อตรวจสอบความเหมาะสมและประสิทธิภาพของสถาปัตยกรรมและเทคโนโลยีที่ใช้งาน
การใช้งาน Feedback Loop ที่ดี
การรับฟีดแบ็คจากผู้ใช้งานและทีมพัฒนาเพื่อปรับปรุงและป้องกันปัญหาในภายหลัง
ด้วยแนวทางเหล่านี้ การป้องกันหนี้ทางเทคนิคจะสามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยให้โปรเจ็กต์การพัฒนาซอฟต์แวร์ของคุณประสบความสำเร็จในระยะยาว