ERP แต่ละแบรนด์มีความแตกต่างกันอย่างไร แบรนด์ไหนดีกว่ากัน?

ERP มีหลายแบรนด์ชั้นนำเป็นผู้ผลิตทั้ง SAP, Oracle, Microsoft Dynamics 365 เปรียบเทียบให้รู้ว่า แบรนด์ไหนเหมาะกับคุณมากที่สุด
sap oracle microsoft dynamics365 cover

ในแวดวงธุรกิจในตอนนี้ คงคุ้นชินกับคำว่า “ระบบ ERP” กันเป็นอย่างดี แต่สำหรับใครที่ไม่รู้เราก็สามารถเกริ่นให้คุณได้รู้จักกันคร่าว ๆ ก่อน ว่าโปรแกรมนี้มีเอาไว้สำหรับช่วยในเรื่องของการบริหารธุรกิจ โปรแกรมจะเข้ามาช่วยดูแลจัดการข้อมูลต่าง ๆ ภายในองค์กร เพื่อให้สามารถบริหารงานได้อย่างเกิดประโยชน์สูงที่สุด ซึ่งโปรแกรมนี้มีให้เลือกใช้งานหลากหลายแบรนด์ด้วยกัน มีบริษัทซอฟต์แวร์ชั้นนำหลายต่อหลายแบรนด์ที่ผลิตระบบนี้ออกมา ไม่ว่าจะเป็น SAP, Oracle และ Microsoft Dynamics 365 บทความนี้เราจัดทำขึ้นมา เพื่อให้คุณสามารถเลือกได้ว่า ควรใช้ระบบ ERP จากแบรนด์ไหนถึงจะเหมาะสมกับธุรกิจของคุณ

ERP คืออะไร สำคัญอย่างไรต่อการบริหารธุรกิจของคุณ ?

ก่อนที่เราจะไปเจาะลึกกับระบบ ERP ในแต่ละแบรนด์ ก่อนอื่นเราต้องขอแนะนำเสียก่อนว่าระบบนี้คืออะไร เผื่อว่ากำลังมีผู้อ่านหลายคนที่ยังไม่เคยทำความรู้จักกับระบบ ERP มาก่อน โดยระบบนี้ย่อมาจาก Enterprise Resource Planning มีหน้าที่แปลตรงตัวกับความหมายคือ “โปรแกรมสำหรับการวางแผนทรัพยากรภายในองค์กร”

ในทุก ๆ องค์กรย่อมมีหลายส่วนประกอบ ไม่ว่าจะเป็น แผนกที่ดูแลการเงิน, แผนกดูแลการขาย, แผนกดูแลลูกค้า, แผนกสำหรับดูแลบุคคล, แผนกสำหรับดูแลการผลิต ไปถึงแผนกอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง หน้าที่ของระบบ ERP คือทำให้ทุกส่วนขององค์กรทำงานร่วมกันได้อย่างเป็นระเบียบ ช่วยลดความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นจากการทำงานของมนุษย์ให้ลดน้อยลง อัปเดตข้อมูลที่สำคัญให้ Real Time อยู่เสมอ พร้อมกับช่วยให้การวางแผน เพื่อพัฒนาองค์กรนั้นมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น

หากให้บอกว่าระบบ ERP นั้นสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจมากแค่ไหน เพื่อให้เห็นภาพที่สุดเราต้องขออนุญาตยกตัวอย่าง

“บริษัท A ในทุก ๆ วัน จะต้องมีการประชุม เพื่ออัปเดตเรื่องต่าง ๆ ในองค์กร ฝ่ายผลิตต้องคอยแจ้งกำลังการผลิต ฝ่ายขายต้องแจ้งกับฝ่ายผลิตว่าต้องการสินค้าจำนวนเท่าใด ฝ่ายการเงินต้องคุยกับฝ่ายบุคคลเกี่ยวกับการจ่ายเงินเดือนพนักงาน และผู้บริหารต้องนั่งอ่านเอกสารกองโตในทุก ๆ วัน เพื่อติดตามว่าประสิทธิภาพการทำงานขององค์กรเป็นอย่างไรบ้าง”

จากตัวอย่างนี้คุณคงมองเห็นภาพแล้วว่า การทำงานโดยไม่มีระบบ ERP เป็นตัวช่วยนั้นยุ่งยากแค่ไหน การมีระบบนี้เข้ามาอยู่ในองค์กร จะช่วยลดขั้นตอนอันแสนยุ่งยากให้ลดน้อยลง ช่วยให้การทำงานไม่จำเป็นต้องนำเสนอข้อมูลผ่านเอกสารอีกต่อไป เมื่อต้องการข้อมูลเมื่อไหร่ก็สามารถดึงออกจากระบบคลาวด์ได้ทันทีตลอด 24 ชั่วโมง การผสานงานของทุก ๆ ระบบทำงานได้อย่างไหลลื่น และนี่คือสาเหตุที่คุณควรมีระบบ ERP ภายในองค์กรของคุณ

การเลือกระบบ ERP ให้เหมาะสมกับองค์กรธุรกิจ

แม้ว่าระบบ ERP จะมีประโยชน์สูงมาก แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเหมาะกับทุกธุรกิจ เนื่องจากความหลากหลายทางธุรกิจในตอนนี้ อีกทั้งระบบ ERP ที่มีให้เลือกใช้หลากหลายแบรนด์ ทำให้ผู้ใช้งานควรเลือกระบบที่ใช่กับองค์กรให้มากที่สุด เพราะระบบนี้มีค่าใช้จ่ายที่จะต้องเสีย ถึงแม้จะเป็นจำนวนเงินที่พอดูตัวเลขแล้วสูงเอาการ แต่ถ้านำมาใช้งานอย่างเกิดประโยชน์ มั่นใจได้เลยว่าเงินที่เสียไปนั้นจะคุ้มค่าเงินทุกบาททุกสตางค์อย่างแน่นอน สำหรับผู้ที่ยังไม่มั่นใจว่าจะเลือกระบบอย่างไรให้เหมาะกับองค์กรมากที่สุด อ่านบทความนี้จนจบแล้วคุณจะได้รับคำตอบนั้นในทันที

เปรียบเทียบข้อดีและข้อเสียของ ERP ไทยและต่างประเทศ พร้อมตัวอย่างซอฟต์แวร์ ERP ที่น่าสนใจ

การเลือกซอฟต์แวร์ ERP (Enterprise Resource Planning) ที่เหมาะสมสำหรับธุรกิจของคุณเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากซอฟต์แวร์นี้จะเป็นหัวใจหลักในการบริหารจัดการข้อมูลและกระบวนการต่าง ๆ ในองค์กร การตัดสินใจเลือก ERP ที่เหมาะสมสามารถเพิ่มประสิทธิภาพและความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจได้อย่างมากมาย ในบทความนี้เราจะเปรียบเทียบข้อดีและข้อเสียของซอฟต์แวร์ ERP ที่มีอยู่ในประเทศไทยและต่างประเทศ พร้อมตัวอย่างซอฟต์แวร์เพื่อช่วยในการตัดสินใจ

ตัวอย่างซอฟต์แวร์ ERP ในประเทศไทย

  • 1. APEAK

APEAK เป็นซอฟต์แวร์ ERP ที่เน้นการใช้งานง่ายและเหมาะสำหรับธุรกิจขนาดเล็กถึงขนาดกลาง มีฟีเจอร์ที่ครรบครันในการจัดการสินค้าคงคลัง การขาย การเงิน และการบัญชี ช่วยให้ธุรกิจสามารถติดตามและบริหารจัดการกระบวนการต่าง ๆ ได้อย่างครอบคลุม

  • 2. FlowAccount

FlowAccount เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก เน้นการใช้งานง่าย และมีฟีเจอร์ที่ช่วยในการบัญชี การออกใบกำกับภาษี และการบริหารเงินสด เป็นซอฟต์แวร์ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้ธุรกิจขนาดเล็กสามารถจัดการเรื่องการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  • 3. ZORT

ZORT เป็นซอฟต์แวร์ ERP ที่ออกแบบมาเพื่อธุรกิจค้าปลีกโดยเฉพาะ มีฟีเจอร์ที่ช่วยจัดการร้านค้าออนไลน์ การขาย และการบริหารสินค้าคงคลังอย่างครบถ้วน ช่วยให้ธุรกิจสามารถจัดการสินค้าคงคลังและติดตามการขายได้อย่างราบรื่น

  • 4. XERO

XERO เป็นซอฟต์แวร์บัญชีที่มีฟีเจอร์ ERP เบื้องต้น เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก มีการรายงานการเงินที่เข้าใจง่าย และสามารถใช้งานได้บนระบบคลาวด์ ทำให้สามารถเข้าถึงข้อมูลได้จากทุกที่

  • 5. ECOUNT

ECOUNT เป็นซอฟต์แวร์ ERP ที่มีฟีเจอร์ครอบคลุมหลายด้าน เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดเล็กถึงขนาดกลาง มีการรองรับหลายภาษา และมีฟีเจอร์ที่ช่วยในการจัดการสินค้าคงคลัง การขาย การเงิน และการบัญชี

ตัวอย่างซอฟต์แวร์ ERP จากต่างประเทศ

  • 1. SAP

ระบบ ERP จากแบรนด์ SAP เป็นแพลตฟอร์มสำหรับการดูแลจัดการทรัพยากรต่าง ๆ ภายในองค์กร ชื่อเสียงของแบรนด์นั้นต้องขอเรียกว่าเป็น “ระดับโลก” ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับการให้บริการกับองค์กรทุกขนาด ชื่อของแพลตฟอร์มเวอร์ชันล่าสุดคือ “SAP S/4HANA” สามารถทำงานร่วมเข้ากับโปรแกรมอื่น ๆ ของ SAP เพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาดีที่สุด รองรับการใช้งานในระบบคลาวด์ ประมวลผลข้อมูลแบบเรียลไทม์ รองรับการใช้งานได้หลายภาษา รวมไปถึงสกุลเงินเกือบทุกชนิดบนโลก พร้อมกับคุณสมบัติพิเศษทางที่สามารถประมวลผลข้อมูลอันซับซ้อนได้อย่างแม่นยำ ข้อเสียคือมีราคาที่ค่อนข้างสูงเลยทีเดียว หากเทียบกับแบรนด์อื่น ๆ

sap

cr. sap

  • 2. Oracle

Oracle ก็เป็นอีกหนึ่งผู้พัฒนาระบบ ERP ในระดับโลก การใช้งานค่อนข้างยืดหยุ่นเลยทีเดียว เนื่องจากเป็นแพลตฟอร์มที่อยู่ในชุดของแอปพลิเคชันที่สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ จุดเด่นของการใช้งานระบบ ERP ของ Oracle คือ มีการใช้ระบบปัญญาประดิษฐ์เข้ามาช่วยให้เกิด Work Flow ภายในองค์กร พร้อมกับการจัดการระบบที่ทำให้รองรับการทำงานได้มากที่สุด ผสานเข้ากับการใช้งาน IoT เพื่อเก็บข้อมูลของการทำงานอย่างเรียลไทม์ จัดการข้อมูลจำนวนมากได้เป็นอย่างดี แต่ข้อเสียนั้นก็จะเป็นในเรื่องของความซับซ้อนในบางโซลูชัน กับราคาที่ยังถือว่าแพงอยู่พอสมควร

oracle

cr. oracle

  • 3. Microsoft Dynamics 365

มาถึงชื่อที่คุ้นหูคนไทยกันบ้าง Microsoft Dynamics 365 เป็นชื่อของระบบ ERP ที่ผลิตขึ้นมาจากบริษัท Microsoft มีให้เลือกใช้ 2 รูปแบบคือ

เหมาะกับธุรกิจขนาดเล็ก-กลาง ใช้งานได้หลากหลาย แต่ยังไม่สามารถจัดการที่ซับซ้อนได้ดีสักเท่าไหร่

Quick Suggest

หากสนใจเรียนรู้เพิ่มเติม ขอแนะนำบทความ

Dynamics 365 BC Screen 2

เหมาะกับธุรกิจขนาดกลาง-ใหญ่ โดดเด่นในเรื่องของการจัดการกับข้อมูลที่ซับซ้อนได้เป็นอย่างดี

Dynamics 365 FO Screen 2

การใช้งานค่อนข้างง่าย เนื่องจากมีระบบการใช้งานที่คล้าย ๆ กับโปรแกรมอื่น ๆ ของ Microsoft ที่ใช้งานอย่างแพร่หลายในประเทศไทย สามารถทำงานร่วมกับโปรแกรมอื่น ๆ ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ราคาไม่แพงมาก สามารถเลือกได้หลายขนาด ตามความต้องการขององค์กร จุดเด่นที่ชัดเจนที่สุดคือ “ความยืดหยุ่น” ใช้งานได้หลากหลาย

  • 4. Odoo

Odoo ERP เป็นซอฟต์แวร์ที่มีโมดูลหลากหลายและสามารถปรับแต่งได้ตามความต้องการของธุรกิจขนาดเล็กถึงขนาดกลาง มีฟีเจอร์ที่ช่วยในการจัดการการขาย การเงิน การผลิต และการบริหารทรัพยากรบุคคล

  • 5. Acumatica

Acumatica เป็น ERP ที่ทำงานบนระบบคลาวด์ มีฟีเจอร์ที่ครอบคลุมการจัดการข้อมูลทุกด้าน และมีความยืดหยุ่นสูง เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดเล็กถึงขนาดกลางที่ต้องการระบบที่สามารถขยายตัวได้

  • 6. Sage

Sage เป็นซอฟต์แวร์ ERP ที่เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ มีฟีเจอร์ที่ครอบคลุมทั้งการบัญชี การขาย และการบริหารทรัพยากรบุคคล ระบบนี้มีการปรับแต่งที่ยืดหยุ่นและมีการรายงานที่เข้าใจง่าย

ความปลอดภัย และความน่าเชื่อถือของแบรนด์ ERP ที่ได้รับความนิยม

ความปลอดภัยคือสิ่งแรกที่คุณควรคำนึงถึง หากต้องการเลือกระบบ ERP เข้ามาใช้ในองค์กร เนื่องจากระบบนี้จะรวบรวมข้อมูลสำคัญต่าง ๆ ขององค์กรเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็น ข้อมูลทางการค้า, ข้อมูลเกี่ยวกับการเงิน, ข้อมูลส่วนตัวพนักงาน เรียกได้ว่าทุกข้อมูลที่มีบันทึกในองค์กร จะถูกจดจำเอาไว้ในระบบ ERP ทั้งหมด ดังนั้นควรเลือกใช้งานระบบ ERP จากแบรนด์ที่วางใจได้เท่านั้น ซึ่งไม่ว่าจะเป็น SAP, Oracle และ Microsoft Dynamics 365 ต่างก็ได้รับความไว้วางใจในระดับโลก มั่นใจได้เลยว่าใช้แบรนด์ใดแบรนด์หนึ่งในนี้ ไม่มีความเสี่ยงต่อข้อมูลขององค์กรที่จะรั่วไหลออกมาสู่สาธารณะอย่างแน่นอน

การประเมินความคุ้มค่า และค่า ROI ในการใช้งานระบบ ERP ต่าง ๆ

แน่นอนว่าการลงทุนไปกับระบบ ERP สิ่งที่คาดหวังคือความคุ้มค่าของการลงทุน เงินที่เสียไปให้กับการใช้งานระบบนี้ในรายเดือน ไปจนถึงรายปี ควรจะผลิดอกออกผลออกมาเป็นความคุ้มค่าที่องค์กรควรได้รับ ซึ่งในส่วนนี้สามารถประเมินได้จาก 2 ส่วนคือ “การประเมินความคุ้มค่า” และ “ผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI)” ในส่วนของคำตอบคงไม่สามารถตีเป็นตัวเลขที่ชัดเจนได้ เนื่องจากทั้ง SAP, Oracle และ Microsoft Dynamics 365 มีงบประมาณสำหรับการซื้อผลิตภัณฑ์ที่แตกต่างกัน รวมไปถึงมีค่าใช้จ่ายปลีกย่อยต่าง ๆ อีกมากมาย

ในแต่ละองค์กรจะเสียเงินให้กับระบบ ERP ที่แตกต่างกันออกไป แต่ก็แลกมากับ การเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน, รายได้ที่จะเพิ่มมากขึ้น, ได้กลยุทธ์อันแสนล้ำค่าของการทำธุรกิจ, ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น และ ลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการทำธุรกิจ เป็นต้น สุดท้ายแล้วหากองค์กรของคุณใช้งานระบบ ERP ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ การประเมินทั้ง 2 ส่วนที่เรากล่าวไปข้างต้น ต้องออกมาเป็นผลลัพธ์ที่ดีได้อย่างแน่นอน

การรองรับการปรับแต่งและการขยายความสามารถของระบบ ERP แต่ละแบรนด์

ระบบ ERP ควรสอดคล้องเข้ากับการเติบโตขององค์กร การเลือกระบบให้ดีไม่ควรมองแค่เฉพาะวันนี้กับพรุ่งนี้ ควรมองเผื่อวันที่ธุรกิจของคุณเติบโตมากยิ่งขึ้น หากระบบ ERP ไม่สามารถตอบสนองต่อการเติบโตของธุรกิจของคุณได้ อาจทำให้เสียเวลามาเริ่มต้นใหม่กับระบบใหม่ ที่จะต้องมีการจัดการอีกหลายอย่าง

ในเรื่องของความสามารถในการ “ปรับแต่งความสามารถ” ระบบ ERP ทั้ง 3 ที่เรากล่าวถึงในบทความนี้สามารถทำได้เหมือนกันทั้งหมด ในแต่ระบบ SAP และ Oracle ค่อนข้างจะยุ่งยากกว่าเสียหน่อย ต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญเพื่อการปรับแต่งเท่านั้น และมีค่าใช้จ่ายสำหรับการปรับแต่งที่ค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับ Microsoft Dynamics 365 ที่มีขั้นตอนที่ง่ายกว่า สามารถปรับแต่งได้ง่าย เนื่องจากโซลูชันที่เป็นมิตรต่อผู้ใช้งาน แต่ก็ยังเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเช่นเดียวกัน

รีวิวจากผู้ใช้จริง

การอ่านรีวิวจากผู้ใช้งานจริง สามารถได้ข้อสรุปเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์นั้น ๆ ได้เกือบทั้งหมด ไม่เว้นแม้แต่ระบบ ERP ที่การตรวจสอบคำรีวิวเองก็สามารถช่วยให้การตัดสินใจง่ายขึ้นเช่นเดียวกัน มาลองดูกันว่าทั้ง 3 แบรนด์ที่เรานำมาฝาก มีคำรีวิวไปในทิศทางใดกันบ้าง โดยเราได้รวบรวมคำรีวิวจากหลาย ๆ แหล่งมาฝากผู้อ่าน โดยจะมีเนื้อหาดังต่อไปนี้

  • SAP

ได้รับคำชื่นชมในเรื่องของความหลากหลายของโมดูลต่าง ๆ ความสามารถสูง ตอบสนองต่อความต้องการของธุรกิจได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะความสามารถทางด้านการเงิน ที่จะเป็นที่พูดถึงมากเป็นพิเศษ แต่ก็จะถูกรีวิวในแง่ลบในส่วนของราคาที่ค่อนข้างแพง

  • Oracle

การรีวิวเป็นแง่บวกในส่วนใหญ่ ได้รับการชื่นชมในเรื่องของความสามารถที่ครอบคลุม สามารถใช้ในธุรกิจขนาดใหญ่ได้โดยไม่มีข้อผิดพลาดใด ๆ ทั้งสิ้น ทำงานร่วมกับโปรแกรมอื่น ๆ ได้อย่างไหลลื่น แต่ก็ยังมีการหักคะแนนในเรื่องของราคาที่จะเพิ่มขึ้น หากต้องการใช้ความสามารถเพิ่มมากขึ้น

  • Microsoft Dynamics 365

เสียงรีวิวไปในทิศทางด้วยกันว่าใช้งานได้ง่าย ใช้เข้ากับโปรแกรมที่คุ้นเคยต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี รองรับระบบคลาวด์ ใช้งานได้จากหลากหลายอุปกรณ์ แต่แง่ลบเองก็มีเช่นเดียวกัน เนื่องจากการใช้งานร่วมกับโปรแกรมอื่น ๆ ได้ดี ทำให้ต้องมีฮาร์ดแวร์ที่สามารถตอบสนองในส่วนนี้ได้ ถึงจะสามารถใช้งานได้เกิดประโยชน์สูงสุด

แนวโน้มของการพัฒนาระบบ ERP ในอนาคตของแบรนด์ชั้นนำต่าง ๆ

  • อาจมีระบบ ERP 2 ชั้น

เป็นการจัดการสำหรับองค์กรขนาดใหญ่ที่มีย่อยออกเป็นหลาย ๆ สาขา ยกตัวอย่างเช่น ร้านสะดวกซื้อ ศูนย์ซ่อมบำรุงรถยนต์ เป็นต้น

  • นำ AI เข้ามามีบทบาทมากขึ้น

มีแนวโน้มสูงมากขึ้นเรื่อย ๆ ว่าจะมีการใช้ปัญญาประดิษฐ์ที่มีความอัจฉริยะมากขึ้นเรื่อย ๆ เข้ามาทดแทนบทบาทที่เคยเป็นหน้าที่ของมนุษย์

  • โซลูชันต่าง ๆ ที่สามารถปรับใช้งานได้หลากหลายมากขึ้น

โซลูชันต่าง ๆ ที่สามารถปรับใช้งานได้หลากหลายมากขึ้น

  • เพิ่มการทำงานร่วมเข้ากับ IoT

ช่วยเพิ่มความแม่นยำของข้อมูลต่าง ๆ รวมไปถึงการสั่งการทางไกล ทำให้ลดปัญหา Human Error และความผิดพลาดจากการสื่อสารได้เกือบ 100%

  • การใช้งานบนโทรศัพท์มือถือ

แม้ว่าตอนนี้จะมีอยู่บ้างในบางแพลตฟอร์ม แต่การทำงานเองก็ยังไม่ได้เต็มรูปแบบสักเท่าไหร่ ในอนาคตจะมีการปรับปรุงแอปพลิเคชันให้ใช้ได้ง่ายบนมือถือมากยิ่งขึ้นอย่างแน่นอน

บทส่งท้าย

สุดท้ายนี้ เราหวังว่าคุณคงจะเลือกได้แล้ว ว่าต้องการใช้ระบบ ERP แบรนด์ไหนสำหรับธุรกิจของคุณ การตัดสินใจครั้งนี้สำคัญเป็นอย่างมาก เพราะคุณจะต้องอยู่กับระบบนี้ไปอีกนาน อย่าเลือกเพียงเพราะชอบในอะไรบางอย่างของแบรนด์เพียงเท่านั้น ควรเข้าใจในระบบให้ได้มากที่สุด เพื่อให้รู้ถึงข้อดีของเสียของการใช้งาน

หากการเลือกนั้นยากจนเกินไป จนคุณกำลังกังวลว่าจะเลือกแบรนด์ที่เหมาะกับองค์กรของคุณได้หรือไม่ ให้ผู้เชี่ยวชาญจาก Quick ERP ให้คำแนะนำคุณเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เพราะนี่คือทีมงานที่ดูแลเรื่องระบบ ERP ให้กับบริษัทชั้นนำมาแล้วมากมาย ได้รับรางวัลต่าง ๆ มาแล้วมากมาย การันตีคุณภาพของการให้บริการได้อย่างแน่นอน

ก้าวเข้าสู่ Digital Business

ดูผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องได้ที่นี่

Table of Content