สรุปหน่วยวัดสำคัญ ในอุตสาหกรรมผลิตที่ไม่รู้ไม่ได้

ตารางสรุป ไม่ว่าจะเป็น OEE, ROI, CAPEX, OPEX, KPI, Takt Time, Lead Time, Cycle Time, Throughput, MTBF, MTTR คืออะไร คำนวณอย่างไร หาคำตอบที่นี่
key units manufacturing industry cover
ทางลัด: เลือกอ่านเฉพาะเรื่องที่อยากรู้

ทุกผู้ผลิตที่ประสบความสำเร็จจะเข้าใจความสำคัญของตัวชี้วัดที่เฉพาะเจาะจงเพื่อประเมินประสิทธิภาพการดำเนินการของพวกเขา ตัวชี้วัดเหล่านี้รวมถึง OEE, ROI, CAPEX, OPEX, KPI, Takt Time, Lead Time, Cycle Time, Throughput, MTBF และ MTTR โดยการเข้าใจและนำตัวชี้วัดเหล่านี้มาใช้อย่างถูกต้อง ธุรกิจสามารถขับเคลื่อนประสิทธิภาพและความแข็งแกร่งทางการผลิตของพวกเขาได้

ตารางสรุปค่าหน่วยวัดในอุตสาหกรรมผลิต

หน่วยวัด ค่าที่ดี ค่าที่ไม่ดี
OEE อยู่ที่ระดับ 85% หรือสูงกว่า อยู่ที่ระดับ 85% หรือต่ำกว่า
ROI อยู่ที่ระดับ 0% หรือสูงกว่า (ยิ่งสูงยิ่งดี) อยู่ที่ระดับ 0% หรือต่ำกว่า
CAPEX ต่ำ (เนื่องจากน้อยค่าใช้จ่ายในการลงทุนเริ่มต้น) สูง (มีค่าใช้จ่ายในการลงทุนเริ่มต้นมาก)
OPEX ต่ำ (เนื่องจากน้อยค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ) สูง (มีค่าใช้จ่ายในการดำเนินการมาก)
KPI ครบหรือเกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ ไม่ถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้
Takt Time สั้น (เนื่องจากน้อยเวลาที่ใช้ในการผลิตสินค้าต่อหนึ่งชิ้น) ยาว (มีเวลาที่ใช้ในการผลิตสินค้าต่อหนึ่งชิ้นมาก)
Lead Time สั้น (เนื่องจากน้อยเวลาที่ใช้ในการส่งมอบสินค้าต่อหนึ่งชิ้น) ยาว (มีเวลาที่ใช้ในการส่งมอบสินค้าต่อหนึ่งชิ้นมาก)
Cycle Time สั้น (เนื่องจากน้อยเวลาที่ใช้ในการผลิตสินค้าต่อหนึ่งชิ้น) ยาว (มีเวลาที่ใช้ในการผลิตสินค้าต่อหนึ่งชิ้นมาก)
Throughput สูง (เนื่องจากสามารถผลิตสินค้าได้มากในเวลาที่กำหนด) ต่ำ (ผลิตสินค้าได้น้อยในเวลาที่กำหนด)
MTBF สูง (เนื่องจากน้อยความถี่ในการล้มเหลว) ต่ำ (มีความถี่ในการล้มเหลวมาก)
MTTR สั้น (เนื่องจากน้อยเวลาที่ใช้ในการซ่อมแซม) ยาว (มีเวลาที่ใช้ในการซ่อมแซมมาก)

เข้าใจ OEE (ย่อมาจาก Overall Equipment Efficiency) คืออะไร

OEE คือตัวชี้วัดที่สำคัญในการผลิต มีหน้าที่วัดประสิทธิภาพของกระบวนการผลิต โดยพื้นฐานแล้ว OEE รวมตัวชี้วัดของการมีอยู่ ประสิทธิภาพ และคุณภาพเข้าด้วยกันเป็นตัวเลขเดียวที่ให้มุมมองครอบคลุมถึงการผลิตสินค้าของเครื่องจักร แนวการผลิต โรงงาน หรือการดำเนินงานทั้งหมด

OEE 2

Quick Suggest

  • วิธีการคำนวณ OEE

OEE สามารถคำนวณได้โดยการคูณ 3 ปัจจัยหลักคือ Availability (ความพร้อมใช้งาน), Performance (ประสิทธิภาพ) และ Quality (คุณภาพ)

สูตรคือ OEE (%) = (Availability x Performance x Quality) x 100

  • ตัวอย่างการคำนวณ OEE

Availability คือ 90%

Performance คือ 85%

Quality) คือ 98%

OEE จะเท่ากับ (0.90 x 0.85 x 0.98) x 100 = 79.38%

ROI คืออะไร (ย่อมาจาก Return on Investment)

ROI คือตัวชี้วัดที่สำคัญอีกหนึ่งที่ช่วยให้ผู้ผลิตสามารถกำหนดความได้เปรียบของการลงทุนหรือเปรียบเทียบความได้เปรียบของการลงทุนหลาย ๆ อย่าง ROI ทำหน้าที่ชี้แจงถึงประสิทธิภาพของการลงทุน ซึ่งจะมีผลต่อการตัดสินใจทางการเงินของบริษัท

Quick Suggest

  • วิธีการคำนวณ ROI

ROI สามารถคำนวณได้โดยการนำกำไรที่ได้หักค่าใช้จ่ายแล้วหารด้วยต้นทุนการลงทุน และคูณ 100 เพื่อเป็นเปอร์เซนต์

สูตรคือ ROI (%) = ((กำไร-ค่าใช้จ่าย)/ต้นทุนการลงทุน) x 100

  • ตัวอย่างการคำนวณ ROI

กำไรหลังหักค่าใช้จ่ายคือ 5,000,000 บาท

ต้นทุนการลงทุนคือ 20,000,000 บาท

ดังนั้น ROI จะเท่ากับ ((5,000,000-20,000,000)/20,000,000) x 100 = -75%

CAPEX และ OPEX คืออะไร: ทรัพยากรทางการเงินในการผลิต

CAPEX หรือ “ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการลงทุน” พูดถึงการลงทุนเพื่อการซื้อหรือการปรับปรุงทรัพย์สินของบริษัท รวมถึงอาคาร, อุปกรณ์ หรือเทคโนโลยี อย่างไรก็ตาม OPEX หรือ “ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน” คือค่าใช้จ่ายรายวันในการดำเนินธุรกิจทั่วไป เช่น ค่าจ้าง, ค่าไฟฟ้า และค่าบำรุงรักษา

  • ตัวอย่างการคำนวณ CAPEX

สมมติว่าค่าใช้จ่ายในการซื้อเครื่องจักรใหม่คือ 10,000,000 บาท ค่าใช้จ่ายในการติดตั้งและการสร้างสรรค์คือ 2,000,000 บาท และค่าใช้จ่ายสำหรับการฝึกอบรมพนักงานคือ 500,000 บาท

ดังนั้น CAPEX จะเท่ากับ 10,000,000 + 2,000,000 + 500,000 = 12,500,000 บาท

  • ตัวอย่างการคำนวณ OPEX

สมมติว่าค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมและบำรุงรักษาคือ 1,000,000 บาท ค่าใช้จ่ายในการใช้งานคือ 500,000 บาท และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานคือ 300,000 บาท

ดังนั้น OPEX จะเท่ากับ 1,000,000 + 500,000 + 300,000 = 1,800,000 บาท

KPIs: คืออะไร เป้าหมายการผลิต

ตัวชี้วัดประสิทธิภาพหลัก (KPIs) คือเครื่องมือที่ช่วยให้บริษัทในการติดตาม, วัด และปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานในเรื่องต่าง ๆ KPIs ช่วยให้ผู้ผลิตสามารถตัดสินใจที่ดีขึ้น และมีทรัพยากรในการวางแผนทางกาลเวลาในธุรกิจของตน

  • ตัวอย่างการคำนวณ KPI

สมมติว่า KPI สำหรับการผลิตสินค้าคือ 1,000 ชิ้นต่อวัน แต่ในวันนี้คุณได้ผลิตไปแล้ว 900 ชิ้น

ดังนั้น KPI สำหรับวันนี้คือ 90%

Takt Time, Lead Time และ Cycle Time: คืออะไร วัดความรวดเร็วและความมีประสิทธิภาพของการผลิต

Takt Time คือเวลาที่คำนวณให้ได้ว่าบริษัทควรที่จะผลิตสินค้าหนึ่งชิ้นในเวลาเท่าไหร่ เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า

Lead Time คือเวลาที่ต้องใช้ในการผลิตสินค้าตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงสิ้นสุด

Cycle Time คือเวลาที่ใช้ในแต่ละวงจรการผลิต

Quick Suggest

ถ้าสนใจอยากรู้เพิ่มเติม ขอแนะนำบทความ

  • วิธีการคำนวณ Takt Time

Takt Time คำนวณโดยการนำเวลาทำงานทั้งหมดหารด้วยปริมาณของสินค้าที่ต้องการ

สูตรคือ Takt Time = เวลาทำงานทั้งหมด / ปริมาณสินค้าที่ต้องการ

ในทางกลับกัน Cycle Time คือเวลาที่ใช้ในการผลิตสินค้าหนึ่งชิ้น

  • ตัวอย่างการคำนวณ Takt Time

เวลาทำงานทั้งหมดคือ 480 นาที

สินค้าที่ต้องการผลิตคือ 240 ชิ้น

ดังนั้น Takt Time จะเท่ากับ 480/240 = 2 นาที/ชิ้น

  • ตัวอย่างการคำนวณ Lead Time

สมมติว่าเวลาที่ใช้ในการรับวัตถุดิบจากผู้ผลิตคือ 5 วัน

เวลาที่ใช้ในการผลิตคือ 3 วัน

และเวลาที่ใช้ในการจัดส่งสินค้าถึงลูกค้าคือ 2 วัน

ดังนั้น Lead Time จะเท่ากับ 5 + 3 + 2 = 10 วัน

ความหมายของ Throughput คืออะไรในการผลิต

Throughput คือปริมาณของสินค้าหรือบริการที่ผลิตออกมาจากกระบวนการภายในระยะเวลาที่กำหนด การเพิ่ม Throughput มักจะทำให้ได้รับผลกำไรมากขึ้น

  • วิธีการคำนวณ Throughput

Throughput คือปริมาณสินค้าหรือบริการที่สามารถผลิตหรือให้บริการได้ภายในระยะเวลาที่กำหนด สามารถคำนวณได้โดยการนำปริมาณสินค้าที่ผลิตได้หารด้วยเวลาที่ใช้ในการผลิต

  • ตัวอย่างการคำนวณ Throughput

สินค้าที่ผลิตได้คือ 500 ชิ้น

เวลาที่ใช้ในการผลิตคือ 8 ชั่วโมง

ดังนั้น Throughput จะเท่ากับ 500/8 = 62.5 ชิ้น/ชั่วโมง

MTBF และ MTTR: คืออะไร วัดประสิทธิภาพและความน่าเชื่อถือของเครื่องจักร

MTBF (เวลาเฉลี่ยระหว่างความล้มเหลว) และ MTTR (เวลาเฉลี่ยในการซ่อมแซม) เป็นตัวชี้วัดที่สำคัญในการวัดความน่าเชื่อถือและประสิทธิภาพของเครื่องจักร MTBF สูงแสดงถึงความน่าเชื่อถือของเครื่องจักร ในขณะที่ MTTR ต่ำแสดงถึงประสิทธิภาพในการซ่อมแซมและการนำกลับมาใช้งานของเครื่องจักร

  • วิธีการคำนวณ MTBF

MTBF คือเวลาที่ใช้ระหว่างความล้มเหลวต่อเนื่อง สามารถคำนวณได้โดยการนำเวลาที่เครื่องจักรทำงานทั้งหมดหารด้วยจำนวนครั้งที่เกิดความล้มเหลว

สูตรคือ MTBF = เวลาที่เครื่องจักรทำงานทั้งหมด / จำนวนครั้งที่เกิดความล้มเหลว

  • ตัวอย่างการคำนวณ MTBF

เวลาที่เครื่องจักรทำงานทั้งหมดคือ 1000 ชั่วโมง

จำนวนครั้งที่เกิดความล้มเหลวคือ 4 ครั้ง

ดังนั้น MTBF จะเท่ากับ 1000/4 = 250 ชั่วโมง

  • วิธีการคำนวณ MTTR

MTTR คือเวลาที่ใช้ในการซ่อมแซมเครื่องจักร คำนวณได้โดยการนำเวลาที่ใช้ในการซ่อมแซมทั้งหมดหารด้วยจำนวนครั้งที่เกิดความล้มเหลว

สูตรคือ MTTR = เวลาที่ใช้ในการซ่อมแซมทั้งหมด / จำนวนครั้งที่เกิดความล้มเหลว

  • ตัวอย่างการคำนวณ MTTR

เวลาที่ใช้ในการซ่อมแซมทั้งหมดคือ 10 ชั่วโมง

จำนวนครั้งที่เกิดความล้มเหลวคือ 4 ครั้ง

ดังนั้น MTTR จะเท่ากับ 10/4 = 2.5 ชั่วโมง

ก้าวเข้าสู่ Industry 4.0

ดูผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องได้ที่นี่

Search
microsoft partner of the year 2024 Quick ERP

Quick ERP รับรางวัล Partner of the Year Awards 2023 – Dynamics 365 Finance

รางวัล 3 ปีซ้อน ได้รับการยอมรับว่าเป็นบริษัทที่มีผลการดำเนินธุรกิจในระดับสูงตลอดปีที่ผ่านมา ตลอดจนมีกลยุทธ์ในการเข้าสู่ตลาดที่สมบูรณ์และไม่เหมือนใคร