Carbon Footprint คืออะไร สำคัญอย่างไร และการเข้าสู่ Net Zero

รู้หรือไม่? ทุกกิจกรรมขององค์กร ตั้งแต่การผลิต การใช้พลังงาน ไปจนถึงการขนส่ง ล้วนสร้าง Carbon Footprint ที่ส่งผลต่อโลกและธุรกิจของคุณ มาค้นหาวิธีวัดผล ลดการปล่อยคาร์บอน และเดินหน้าสู่ Net Zero อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างธุรกิจที่ยั่งยืนและแข่งขันได้ในยุคเศรษฐกิจสีเขียว!
Carbon Footprint ขององค์กร คือ ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกจากการดำเนินงาน วิธีคำนวณ วิเคราะห์ ลดการปล่อยคาร์บอน ก้าวสู่เป้าหมาย Net Zero

Carbon Footprint ปัญหาใหญ่ที่มองไม่เห็น

ลองจินตนาการถึงกองขยะขนาดมหึมาที่เกิดขึ้นจากทุกกิจกรรมที่เราทำในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการขับรถ การเปิดไฟในบ้าน หรือแม้แต่การกินอาหาร เราอาจไม่เห็น “ขยะ” นี้ด้วยตาเปล่า แต่สิ่งที่สะสมอยู่คือ “ก๊าซเรือนกระจก” ที่ปล่อยออกมาสู่ชั้นบรรยากาศ สิ่งนี้คือ Carbon Footprint หรือ “รอยเท้าคาร์บอน” ที่เราได้สร้างไว้ และเป็นต้นเหตุสำคัญของ ภาวะโลกร้อน (Global Warming)

Carbon Footprint ไม่ได้เป็นเพียงตัวเลขทางสิ่งแวดล้อม แต่มันสะท้อนถึงผลกระทบที่เรามีต่อโลกอย่างตรงไปตรงมา ยิ่งเราปล่อยคาร์บอนมากเท่าไหร่ โลกก็ยิ่งใกล้เข้าสู่จุดวิกฤต เช่น น้ำแข็งขั้วโลกละลาย ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้น และภัยธรรมชาติที่รุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปรู้จักกับ Carbon Footprint อย่างละเอียด พร้อมพูดถึง Net Zero ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ทั่วโลกกำลังมุ่งหน้า รวมถึงสถานการณ์ในประเทศไทย และสิ่งที่เราสามารถทำได้เพื่อลดผลกระทบนี้

Carbon Footprint คืออะไร

Carbon Footprint หมายถึงปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ถูกปล่อยออกมาจากกิจกรรมของมนุษย์ในทุกด้าน ตั้งแต่การใช้พลังงาน การขนส่ง การผลิตสินค้า ไปจนถึงการบริโภคอาหาร ก๊าซเรือนกระจกที่สำคัญประกอบด้วยคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂), มีเทน (CH₄), และไนตรัสออกไซด์ (N₂O) ซึ่งเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้อุณหภูมิของโลกเพิ่มสูงขึ้น

การปล่อยก๊าซเหล่านี้เปรียบเสมือน “บาปทางสิ่งแวดล้อม” ที่เราสร้างไว้โดยไม่รู้ตัว เพราะทุก ๆ กิจวัตรประจำวันของเราอาจแฝงการปล่อยคาร์บอนโดยไม่ทันสังเกต ยิ่งกิจกรรมของเราปล่อยคาร์บอนมากเท่าไร ผลกระทบต่อธรรมชาติก็ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น

ตัวอย่างที่เห็นภาพชัดเจน

  • การขับรถยนต์ส่วนตัวในระยะทาง 20,000 กิโลเมตรต่อปี อาจปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากถึง 4.6 ตัน CO₂e
  • การเดินทางด้วยเครื่องบินระยะไกลหนึ่งเที่ยวบิน อาจสร้าง Carbon Footprint ได้เท่ากับการใช้พลังงานไฟฟ้าของบ้านเรือนหนึ่งหลังในระยะเวลาหลายเดือน

Carbon Footprint สามารถวัดผลได้ในหน่วย “CO₂e” หรือ “คาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า” เพื่อสะท้อนถึงผลกระทบที่ครอบคลุมทุกก๊าซเรือนกระจก

การคำนวณ Carbon Footprint

การคำนวณ Carbon Footprint เป็นกระบวนการที่ซับซ้อน ซึ่งรวบรวมข้อมูลจากกิจกรรมในชีวิตประจำวันเพื่อคำนวณปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมา ตัวอย่างเช่น

  • การใช้ไฟฟ้าในบ้าน

หากบ้านหนึ่งหลังใช้ไฟฟ้าเดือนละ 500 กิโลวัตต์-ชั่วโมง จะปล่อยก๊าซเรือนกระจกประมาณ 250 กิโลกรัม CO₂e (ขึ้นอยู่กับแหล่งพลังงานที่ใช้ผลิตไฟฟ้า)

  • การขับรถยนต์

รถยนต์ที่ใช้น้ำมันเบนซินปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ประมาณ 2.3 กิโลกรัมต่อการใช้น้ำมัน 1 ลิตร

  • การบริโภคเนื้อสัตว์

การผลิตเนื้อวัว 1 กิโลกรัมสร้าง Carbon Footprint ประมาณ 27 กิโลกรัม CO₂e ซึ่งสูงกว่าการผลิตอาหารจากพืชหลายเท่า

การคำนวณ Carbon Footprint ช่วยให้เราเห็นภาพรวมของผลกระทบที่เกิดจากการใช้ชีวิต และช่วยให้เราสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อลดผลกระทบเหล่านั้นได้

Net Zero คืออะไร และสำคัญอย่างไร

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โลกของเราได้เผชิญกับผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างชัดเจน น้ำท่วมรุนแรง ไฟป่าขนาดใหญ่ และอุณหภูมิที่สูงขึ้นทุกปี ล้วนเป็นสัญญาณเตือนว่าเราต้องลงมือแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อนอย่างจริงจัง Net Zero จึงกลายเป็นคำสำคัญที่เราได้ยินบ่อยขึ้น ทั้งในวงการธุรกิจ การเมือง และสิ่งแวดล้อม

Net Zero หมายถึงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้อยู่ในระดับที่สมดุลกับการดูดซับ เช่น การปลูกป่าหรือการใช้เทคโนโลยี Carbon Capture เพื่อชดเชยการปล่อยก๊าซที่ยังคงหลีกเลี่ยงไม่ได้

เป้าหมายของ Net Zero คือการหยุดยั้งภาวะโลกร้อน โดยการควบคุมการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกไม่ให้เกิน 1.5°C ซึ่งเป็นจุดวิกฤตที่หากเลยเกินจุดนี้ จะทำให้เกิดผลกระทบที่ไม่สามารถย้อนกลับได้ เช่น การสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตบางชนิด และภัยธรรมชาติที่เกิดบ่อยขึ้น

ตัวอย่างประเทศที่มุ่งสู่ Net Zero

  • สหภาพยุโรป

สหภาพยุโรป (EU) ถือเป็นผู้นำระดับโลกในด้านการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ด้วยการตั้งเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2050 โดยมีนโยบายที่ชัดเจนและเข้มงวด เช่น

    • Carbon Border Adjustment Mechanism (CBAM): การจัดเก็บภาษีคาร์บอนสำหรับสินค้าที่นำเข้าจากประเทศที่ยังไม่มีมาตรการลดคาร์บอน
    • European Green Deal: แผนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างเป็นระบบ โดยเน้นการพัฒนาพลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์

EU ยังตั้งเป้าหมายลดการปล่อยคาร์บอนอย่างน้อย 55% ภายในปี 2030 ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นอย่างจริงจังในการเป็นต้นแบบให้ประเทศอื่น ๆ

  • สหรัฐอเมริกา

แม้สหรัฐฯ จะเป็นประเทศที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปริมาณมากที่สุดเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา สหรัฐฯ ได้หันมาให้ความสำคัญกับการลดคาร์บอนผ่านนโยบายและการลงทุนที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ เช่น

    • Inflation Reduction Act (IRA): กฎหมายที่ส่งเสริมการลงทุนในพลังงานสะอาด มูลค่ากว่า 370,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อสนับสนุนการใช้พลังงานหมุนเวียน รถยนต์ไฟฟ้า และเทคโนโลยีลดคาร์บอน
    • การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน: การสร้างสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าทั่วประเทศกว่า 500,000 จุดภายในปี 2030
    • เป้าหมายระดับชาติ: ตั้งเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2050 และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างน้อย 50% ภายในปี 2030
  • จีน

จีนเป็นประเทศที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดในโลก แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ได้มีการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างเพื่อลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น

    • การตั้งเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2060: แม้จะช้ากว่าหลายประเทศ แต่จีนได้เริ่มลดการใช้ถ่านหินในภาคพลังงาน และพัฒนาพลังงานสะอาดอย่างรวดเร็ว
    • การลงทุนในพลังงานหมุนเวียน: จีนเป็นผู้ผลิตพลังงานแสงอาทิตย์และลมรายใหญ่ที่สุดของโลก และยังมีการส่งออกเทคโนโลยีสะอาดไปยังประเทศอื่น ๆ
    • โครงการพลังงานไฮโดรเจน: จีนกำลังพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับพลังงานไฮโดรเจน ซึ่งเป็นพลังงานสะอาดที่มีศักยภาพสูงในอนาคต

สถานการณ์ในประเทศไทย

  • การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

ประเทศไทยตั้งเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 40% ภายในปี 2030 โดยมีแผนปฏิบัติการดังนี้

    • การสนับสนุนพลังงานหมุนเวียน: เช่น โครงการ Solar Rooftop ในระดับครัวเรือนและอุตสาหกรรม
    • การใช้ยานพาหนะไฟฟ้า (EVs): รัฐบาลตั้งเป้าหมายให้รถยนต์ไฟฟ้าครองตลาดอย่างน้อย 30% ภายในปี 2030
  • การเข้าร่วมข้อตกลงปารีส

ในฐานะสมาชิกข้อตกลงปารีส ประเทศไทยได้แสดงความมุ่งมั่นที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในทุกภาคส่วน โดยเฉพาะในภาคพลังงานและการขนส่ง

  • ความท้าทาย

    • การพึ่งพาถ่านหินและน้ำมันยังคงสูง โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรม
    • งบประมาณและทรัพยากรสำหรับการพัฒนาเทคโนโลยีสะอาดยังคงมีข้อจำกัด

โลกกำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อเข้าสู่เป้าหมาย Net Zero ความคืบหน้าของประเทศต่าง ๆ เช่น สหภาพยุโรป สหรัฐอเมริกา และจีน สะท้อนถึงความจริงจังในการแก้ไขปัญหานี้ แม้ว่าประเทศไทยจะยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น แต่ด้วยการลงทุนในพลังงานหมุนเวียน การส่งเสริมยานพาหนะไฟฟ้า และการเข้าร่วมข้อตกลงปารีส เป็นก้าวสำคัญที่ช่วยให้ประเทศไทยก้าวทันโลกในอนาคต แต่ถึงอย่างไร Net Zero ไม่ใช่แค่เป้าหมายขององค์กรใหญ่หรือรัฐบาล แต่มันคือก้าวสำคัญที่ทั่วโลกต้องร่วมมือกัน เพื่อหยุดยั้งวิกฤตสิ่งแวดล้อมที่กำลังทวีความรุนแรง

แนวโน้ม Carbon Footprint ในประเทศไทยปี 2025

ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่กำลังพัฒนาซึ่งเผชิญกับความท้าทายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก สถานการณ์ในไทยมีดังนี้

  • การพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล

ไทยยังคงใช้ถ่านหินและน้ำมันในภาคพลังงานเป็นหลัก ซึ่งเป็นแหล่งปล่อยคาร์บอนที่สำคัญ

  • นโยบายพลังงานหมุนเวียน

ไทยเริ่มลงทุนในโครงการพลังงานสะอาด เช่น Solar Rooftop และการสนับสนุนการใช้รถยนต์ไฟฟ้า แต่ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น

  • เป้าหมายในอนาคต

    • ไทยตั้งเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 40% ภายในปี 2030
    • สนับสนุนโครงการ Carbon Credit เพื่อจูงใจภาคเอกชนให้ร่วมลด Carbon Footprint

ผู้ประกอบการไทยกับความท้าทายในการลด Carbon Footprint

ในวันที่ผู้บริโภคเริ่มตั้งคำถามกับแบรนด์ที่พวกเขาเลือกสนับสนุน และตลาดโลกกำลังเข้าสู่ยุค เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ (Low Carbon Economy) การลด Carbon Footprint ไม่ใช่เพียงทางเลือก แต่คือทางรอดของธุรกิจในอนาคต

ลองนึกภาพ หากธุรกิจของคุณยังคงใช้พลังงานแบบดั้งเดิม ขนส่งสินค้าในเส้นทางเดิม และละเลยผลกระทบที่เกิดขึ้นจากกิจกรรมต่าง ๆ คุณอาจต้องเสียลูกค้ากลุ่มสำคัญไป เพราะแบรนด์ของคุณไม่สามารถตอบสนองต่อความคาดหวังด้านความยั่งยืนได้

แล้วเราควรเริ่มต้นจากตรงไหน? การเดินหน้าสู่ธุรกิจที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมอาจดูยาก แต่ทุกก้าวเล็ก ๆ ที่คุณเริ่มตั้งแต่วันนี้ สามารถสร้างผลกระทบใหญ่หลวงต่อธุรกิจและโลกของเรา

การประเมิน Carbon Footprint ขององค์กร

การประเมิน Carbon Footprint คือกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้คุณมองเห็นภาพรวมทั้งหมดขององค์กร ตั้งแต่การใช้พลังงานในสำนักงาน การผลิตในโรงงาน ไปจนถึงการขนส่งสินค้า คุณอาจพบว่า

  • โรงงานที่ใช้เครื่องจักรเก่า มีอัตราการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงกว่ามาตรฐาน
  • รถบรรทุกในสายการขนส่ง กำลังปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ในปริมาณที่คุณคาดไม่ถึง
  • แม้กระทั่งหลอดไฟในสำนักงาน อาจเป็นสาเหตุของพลังงานที่สูญเปล่า

การรู้ “ตัวเลข” คือจุดเริ่มต้นที่จะช่วยให้คุณมองเห็นเป้าหมายชัดเจน และวางแผนแก้ไขได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิต

เมื่อคุณรู้ว่าปัญหาอยู่ตรงไหน ขั้นตอนต่อมาคือการปรับเปลี่ยนกระบวนการทำงานให้ “เบาโลก” มากขึ้น โดยไม่ต้องเสียความคุ้มค่าในเชิงธุรกิจ

ในโรงงานผลิต คุณอาจเริ่มต้นจากการติดตั้ง โซลาร์เซลล์ เพื่อลดการพึ่งพาไฟฟ้าจากฟอสซิล หรือปรับปรุงเครื่องจักรให้ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น หากโรงงานของคุณปล่อยของเสีย คุณสามารถนำของเสียเหล่านั้นกลับมารีไซเคิลเป็นวัตถุดิบใหม่ในกระบวนการผลิต

ตัวอย่างเช่น โรงงานอุตสาหกรรมที่ปรับเปลี่ยนมาใช้เครื่องจักรประหยัดพลังงาน ลดค่าไฟฟ้าได้ถึง 30% ในปีแรก และลดการปล่อยคาร์บอนได้มหาศาลในระยะยาว

ใช้เทคโนโลยี IoT และ AI

เทคโนโลยี IoT และ AI ไม่เพียงแค่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการทำงาน แต่ยังช่วยลด Carbon Footprint ได้อย่างชัดเจน

หากโรงงานของคุณติดตั้งเซ็นเซอร์ IoT ที่สามารถตรวจจับการใช้พลังงานแบบเรียลไทม์ หากเครื่องจักรตัวไหนใช้พลังงานเกินจำเป็น ระบบจะแจ้งเตือนทันที คุณสามารถตัดการใช้พลังงานส่วนเกินออกไป และลดต้นทุนโดยไม่กระทบต่อการผลิต

หรือในธุรกิจโลจิสติกส์ คุณอาจใช้ AI เพื่อวิเคราะห์และวางแผนเส้นทางขนส่งที่ดีที่สุด ลดระยะทาง ลดการปล่อยคาร์บอน และยังประหยัดเวลาได้อีกด้วย

ตัวอย่างที่น่าสนใจคือ บริษัทโลจิสติกส์ขนาดใหญ่ในยุโรปที่ใช้ AI เพื่อปรับเส้นทางขนส่ง พบว่าสามารถลดระยะทางได้กว่า 15% ในหนึ่งปี ซึ่งเท่ากับลดการปล่อย CO₂ ลงหลายหมื่นตัน

สร้างความร่วมมือ

ธุรกิจที่โดดเด่นในเรื่องความยั่งยืนมักไม่ทำงานคนเดียว แต่ร่วมมือกับทั้งคู่ค้าและลูกค้าเพื่อสร้างระบบนิเวศที่ช่วยกันลดผลกระทบต่อโลก

  • คุณสามารถเลือกซัพพลายเออร์ที่ใช้วัตถุดิบจากแหล่งยั่งยืน
  • สร้างจุดรีไซเคิลในร้านค้า เพื่อให้ลูกค้าส่งคืนบรรจุภัณฑ์ที่ใช้แล้ว
  • หรือแม้แต่จัดแคมเปญส่งเสริมการใช้ถุงผ้า และมอบส่วนลดให้ลูกค้าที่มีส่วนร่วม

การมี “เรื่องราว” ที่สะท้อนความใส่ใจสิ่งแวดล้อมของแบรนด์ จะทำให้คุณได้ใจลูกค้าและสร้างความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

Carbon Footprint กับอนาคตที่ยั่งยืน

Carbon Footprint เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจของโลก ไม่ว่าจะเป็นการลดผลกระทบจากการใช้พลังงาน การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภค หรือการใช้เทคโนโลยีที่ยั่งยืน ล้วนเป็นก้าวสำคัญในการลด “รอยเท้าคาร์บอน” และป้องกันภาวะโลกร้อน

เป้าหมาย Net Zero คือการสร้างสมดุลระหว่างการปล่อยและการดูดซับก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นความรับผิดชอบร่วมกันของทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล องค์กรธุรกิจ หรือแม้แต่ตัวเราเองในฐานะบุคคล

ประเทศไทยกำลังเดินหน้าผ่านความท้าทายและโอกาสในการเปลี่ยนแปลง ด้วยโครงการพลังงานหมุนเวียน การสนับสนุนยานพาหนะไฟฟ้า และนโยบายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ถึงแม้จะยังมีข้อจำกัดในบางด้าน แต่การเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ ในวันนี้สามารถสร้างผลกระทบที่ยิ่งใหญ่ในวันข้างหน้า

การลด Carbon Footprint ไม่ใช่เพียงเพื่อโลกที่ยั่งยืน แต่ยังเป็นการสร้างคุณค่าที่ยั่งยืนให้กับธุรกิจและสังคมในระยะยาว ทุกคนสามารถเริ่มต้นได้วันนี้ เพื่ออนาคตที่ดีกว่าสำหรับคนรุ่นต่อไป เริ่มเปลี่ยนแปลงตั้งแต่วันนี้ ให้ Quick ERP ช่วยสร้างผลลัพธ์ที่ยั่งยืนสำหรับอนาคตของคุณ!

Table of Content
สัมมนาฟรี🔥หา ERP ที่ใช่? เลือก ERP จาก Microsoft + Power Platform ง่ายกว่า ฉลาดกว่า!