สินค้าคงคลังเป็นหัวใจสำคัญของธุรกิจ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่ต้องพึ่งพาการค้นหาวัตถุดิบและการส่งมอบสินค้าสำเร็จรูปเพื่อรองรับความต้องการของตลาด การบริหารสินค้าคงคลังที่มีประสิทธิภาพช่วยลดต้นทุน ลดความสูญเสีย และเพิ่มศักยภาพในการตอบสนองลูกค้าได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว
Safety Stock Journal ใน Microsoft Dynamics 365 Finance & Operations (D365FO) เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถวางแผนซัพพลายเชนได้อย่างเป็นระบบ คาดการณ์แนวโน้มตลาดได้แม่นยำ ลดปัญหาการขาดแคลนสินค้าคงคลังหรือสินค้าคงคลังล้นเกิน และช่วยให้กระบวนการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
Quick Suggest
หากสนใจเรียนรู้เพิ่มเติม ขอแนะนำบทความ
Master Planning ใน Dynamics 365 FO
Master Planning เป็นกระบวนการวางแผนเชิงกลยุทธ์ที่ช่วยให้องค์กรสามารถบริหารอุปสงค์และอุปทานได้อย่างสมดุล โดยใช้ข้อมูลจากคำสั่งซื้อของลูกค้า แนวโน้มตลาด และประวัติการขายมาวิเคราะห์เพื่อกำหนดปริมาณการผลิตและการสั่งซื้ออย่างเหมาะสม กระบวนการนี้ช่วยลดโอกาสเกิดปัญหาสินค้าขาดแคลนหรือสินค้าคงคลังล้นเกิน อีกทั้งยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต ลดต้นทุนการจัดเก็บ และเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจ
ใน D365FO ระบบ Master Planning ยังสามารถทำงานร่วมกับ Module Production Control, Module Procurement and souning, และ Module Inventory Management เพื่อให้เกิดการบริหารจัดการซัพพลายเชนที่แม่นยำและมีความยืดหยุ่น สามารถคาดการณ์แนวโน้มของตลาดได้แบบเรียลไทม์และปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เหตุผลที่ Master Planning มีความสำคัญ
การมีระบบ Master Planning ที่ดีจะช่วยให้ธุรกิจสามารถดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและแข่งขันได้ในตลาดที่มีความผันผวน เหตุผลสำคัญที่ทำให้ Master Planning มีความจำเป็น ได้แก่
1. บริหารอุปสงค์และอุปทานอย่างสมดุล
Master Planning ช่วยให้องค์กรสามารถบริหารอุปสงค์และอุปทานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยการใช้ข้อมูลจากคำสั่งซื้อ คาดการณ์แนวโน้มตลาด และข้อมูลย้อนหลัง เพื่อวางแผนการผลิตและการจัดซื้อให้เหมาะสม การวางแผนที่แม่นยำช่วยลดโอกาสของสินค้าคงคลังล้นเกินและการขาดแคลนสินค้า ซึ่งเป็นปัญหาที่อาจทำให้ธุรกิจสูญเสียโอกาสทางการขาย
2. ปรับปรุงประสิทธิภาพในการผลิตและซัพพลายเชน
Master Planning ทำให้กระบวนการผลิตสามารถดำเนินไปอย่างราบรื่นโดยลดปัญหาคอขวดและความล่าช้าในการผลิต การใช้ข้อมูลการวางแผนที่ถูกต้องช่วยให้ฝ่ายผลิตสามารถปรับกำลังการผลิตให้เหมาะสมกับทรัพยากรที่มีอยู่ เช่น เครื่องจักร และแรงงาน
3. ลดต้นทุนการจัดเก็บสินค้าคงคลัง
การมีสินค้าคงคลังมากเกินไปทำให้เกิดต้นทุนในการเก็บรักษา เช่น ค่าเช่าคลังสินค้า ค่าเสื่อมราคา และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ในขณะที่การมีสินค้าคงคลังน้อยเกินไปอาจทำให้เกิดการขาดแคลนสินค้าและสูญเสียโอกาสทางธุรกิจ Master Planning ช่วยให้องค์กรสามารถคำนวณปริมาณสินค้าคงคลังที่เหมาะสม ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น และเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ
4. เพิ่มความสามารถในการตอบสนองความต้องการของลูกค้า
Master Planning ทำให้องค์กรสามารถจัดส่งสินค้าได้ตรงตามกำหนดเวลา ลดระยะเวลารอคอย และเพิ่มระดับความพึงพอใจของลูกค้า หากองค์กรสามารถจัดการซัพพลายเชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลูกค้าจะได้รับสินค้าตามคำสั่งซื้อโดยไม่เกิดความล่าช้า ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยสร้างความเชื่อมั่นและความภักดีต่อแบรนด์
5. การจัดการความไม่แน่นอนในตลาด
ตลาดมีความผันผวนอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภค การขาดแคลนวัตถุดิบ หรือปัจจัยทางเศรษฐกิจที่ส่งผลต่อห่วงโซ่อุปทาน Master Planning ช่วยให้ธุรกิจสามารถวิเคราะห์แนวโน้ม คาดการณ์การเปลี่ยนแปลง และเตรียมแผนสำรองเพื่อลดผลกระทบจากปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้
6. รองรับการเติบโตและการขยายตัวของธุรกิจ
เมื่อธุรกิจเติบโตขึ้น Master Planning มีบทบาทสำคัญในการช่วยให้กระบวนการดำเนินงานขยายตัวไปได้อย่างราบรื่น หากไม่มีการวางแผนที่ดี ธุรกิจอาจพบปัญหาด้านการจัดการทรัพยากรและโลจิสติกส์ที่ไม่มีประสิทธิภาพ ซึ่งอาจทำให้สูญเสียโอกาสทางการขายและลดความสามารถในการแข่งขัน
7. ช่วยให้ฝ่ายบริหารสามารถตัดสินใจได้อย่างแม่นยำ
Master Planning ให้ข้อมูลที่จำเป็นสำหรับการตัดสินใจที่แม่นยำและรอบคอบเกี่ยวกับการจัดซื้อ การผลิต และการกระจายสินค้า ข้อมูลเหล่านี้ช่วยให้ผู้บริหารสามารถปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน และเพิ่มโอกาสในการทำกำไรให้กับธุรกิจ
8. รองรับระบบอัตโนมัติและเทคโนโลยีดิจิทัล
ในยุคปัจจุบัน หลายองค์กรนำระบบ ERP (Enterprise Resource Planning) และ AI (Artificial Intelligence) เข้ามาช่วยในการบริหารจัดการ Master Planning ระบบเหล่านี้ช่วยวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์ ทำให้สามารถวางแผนได้อย่างแม่นยำและตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดได้อย่างรวดเร็ว
Pain Points ในการบริหาร Master Planning และแนวทางแก้ไข
แม้ว่า Master Planning จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการบริหารซัพพลายเชนและสินค้าคงคลัง แต่การดำเนินงานยังคงเผชิญกับปัญหาหลักหลายประการ ซึ่งส่งผลกระทบต่อความแม่นยำของการวางแผน โดยเฉพาะในด้าน Safety Stock ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการรักษาสมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทาน ปัญหาหลักที่พบได้บ่อย ได้แก่
1. ข้อมูลไม่เพียงพอสำหรับการคำนวณ Safety Stock (Insufficient Data for Safety Stock Calculation)
การคำนวณ Safety Stock ต้องอาศัยข้อมูลที่แม่นยำ เช่น ปริมาณการใช้สินค้าย้อนหลัง ระยะเวลาการสั่งซื้อ (Lead Time) และระดับการให้บริการ (Service Level) อย่างไรก็ตาม หลายองค์กรไม่มีการจัดเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบหรือมีข้อมูลที่ขาดช่วง ส่งผลให้ระดับ Safety Stock ที่กำหนดอาจต่ำเกินไปหรือสูงเกินไปได้
ทั้งนี้หาก Safety Stock ถูกกำหนดต่ำกว่าความเป็นจริง องค์กรอาจประสบปัญหาสินค้าขาดแคลน ไม่สามารถตอบสนองคำสั่งซื้อของลูกค้าได้ทันเวลา ในขณะที่หากกำหนดสูงเกินไป อาจทำให้เกิดสินค้าค้างสต็อกที่ไม่จำเป็น ส่งผลให้ต้นทุนการจัดเก็บสูงขึ้น การบริหารข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ โดยการใช้ระบบ ERP ในการเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลจึงเป็นสิ่งสำคัญ
2. ความยุ่งยากในการดึงข้อมูล Safety Stock เพื่อวิเคราะห์และปรับค่า (Inconvenience for Extracting Safety Stock Data for Analysis and Adjustment)
การคำนวณ Safety Stock อย่างมีประสิทธิภาพจำเป็นต้องอาศัยข้อมูลที่สามารถเข้าถึงและอัปเดตได้อย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม หลายองค์กรพบปัญหาเกี่ยวกับการดึงข้อมูลจากระบบ ERP หรือฐานข้อมูล เนื่องจากโครงสร้างข้อมูลที่ไม่เอื้อต่อการวิเคราะห์ หรือกระบวนการดึงข้อมูลที่ซับซ้อน
3. ขาดผู้เชี่ยวชาญด้านสถิติในการบริหาร Safety Stock (Lack of Statistician for Business Firm for Managing Safety Stock Level)
การบริหาร Safety Stock อย่างแม่นยำต้องใช้หลักการทางสถิติ เช่น ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) และระดับความมั่นใจ (Z-score) ในการคำนวณ อย่างไรก็ตาม หลายองค์กรไม่มีผู้เชี่ยวชาญที่สามารถวิเคราะห์และใช้หลักการเหล่านี้ได้อย่างถูกต้อง ส่งผลให้การกำหนด Safety Stock อาจคลาดเคลื่อน
องค์กรที่ไม่มีความเชี่ยวชาญในด้านนี้อาจต้องพึ่งพาการตั้งค่าที่ไม่ยืดหยุ่น เช่น การกำหนด Safety Stock แบบตายตัว ซึ่งอาจไม่เหมาะสมกับแนวโน้มการใช้งานที่เปลี่ยนแปลง
Safety Stock Journal คืออะไร และมีบทบาทอย่างไรในการบริหารสินค้าคงคลัง
Safety Stock Journal เป็นเครื่องมือช่วยคำนวณระดับสินค้าสำรองขั้นต่ำที่ธุรกิจพึงมีอยู่เสมอ เพื่อลดความเสี่ยงต่อการขาดแคลนสินค้า แนวคิดนี้เป็นส่วนสำคัญของกระบวนการ Master Planning ซึ่งช่วยให้ธุรกิจสามารถรักษาระดับสินค้าคงคลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การตั้งค่า Safety Stock Journal และ Master Setup แนวทางที่ละเอียดและครอบคลุม
การจัดการสินค้าคงคลังเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจดำเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการกำหนด Safety Stock หรือสินค้าสำรองที่ต้องมีในคลังเพื่อรองรับความผันผวนของอุปสงค์และอุปทาน ในบทความนี้จะอธิบายถึงวิธีการตั้งค่า Safety Stock Journal และ Master Setup อย่างละเอียด เพื่อช่วยให้ระบบสามารถคำนวณและอัปเดตระดับสินค้าสำรองได้แม่นยำและเหมาะสม
บทบาทของ Safety Stock Journal ในการบริหารสินค้าคงคลัง
Safety Stock Journal เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้องค์กรสามารถติดตามและคำนวณระดับสินค้าสำรองได้อย่างเป็นระบบ ทำให้สามารถบริหารสินค้าคงคลังได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยหน้าที่หลักของ Safety Stock Journal ได้แก่
- คำนวณระดับสินค้าสำรองให้เหมาะสมกับแนวโน้มของตลาดและการใช้งานจริง
- ป้องกันปัญหาสินค้าขาดแคลนที่อาจเกิดขึ้นจากการจัดส่งล่าช้าหรืออุปสงค์ที่พุ่งสูงขึ้น
- ลดปริมาณสินค้าคงคลังที่มากเกินไปซึ่งอาจเป็นภาระต้นทุนในการเก็บรักษาสินค้าให้กับธุรกิจ
- ปรับระดับ Safety Stock โดยอัตโนมัติเพื่อให้สอดคล้องกับปัจจัยที่เปลี่ยนแปลง เช่น ความผันผวนในการใช้สินค้า หรือระยะเวลาการสั่งซื้อ
เมื่อมีการตั้งค่า Safety Stock Journal อย่างเหมาะสม ระบบจะสามารถคำนวณระดับสินค้าสำรองได้อย่างแม่นยำ ทำให้สามารถวางแผนการสั่งซื้อและการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยงที่อาจเกิดจากการขาดสินค้าหรือมีสินค้าคงคลังมากเกินไป
สูตรคำนวณ Safety Stock Journal
Average Issue Method
Calculated minimum quantity =
(Issue for n monthn)÷30×(Lead time + Margin)×(Multiplication Factor)(nIssue for n month )÷30×(Lead time + Margin)×(Multiplication Factor)
เมื่อ n = จำนวนเดือนที่กำหนดเป็นค่าที่ใช้ในการคำนวณความต้องการใช้สินค้าย้อนหลัง
ปัจจัยที่ใช้สำหรับการคำนวณ Safety Stock Level
- ระยะเวลาในการสั่งซื้อ / สั่งผลิต (Purchase Lead Time / Production Lead Time)
- จำนวนวันที่ทำการเผื่อสำหรับระยะเวลาการสั่งซื้อ / สั่งผลิต (Margin for calculated safety stock level)
- จำนวนค่าเผื่อสำหรับ Safety Stock Level (Multiplication factor)
Service Level Method
Calculated minimum quantity =
∑i=1n(Average demand per month−μ)2n×Service Level Factor×Lead time30n∑i=1n (Average demand per month−μ)2 ×Service Level Factor×30Lead time
เมื่อ
n = เดือนที่ / จำนวนเดือนที่กำหนดเป็นค่าที่ใช้ในการคำนวณความต้องการใช้สินค้าย้อนหลัง
μ = ค่าเฉลี่ยความต้องการใช้สินค้าในช่วงเวลาที่ใช้ในการคำนวณ
ปัจจัยที่ใช้สำหรับการคำนวณ Safety Stock Level
- ระยะเวลาในการสั่งซื้อ / สั่งผลิต (Purchase Lead Time / Production Lead Time)
- ความต้องการใช้สินค้าต่อเดือน (Average demand per month)
- ระดับการบริการลูกค้าเพื่อบริหารสินค้าคงคลัง (Service level factor)
การตั้งค่า Safety Stock Journal และ Master Setup ใน D365FO
D365FO มีฟีเจอร์ Safety Stock Journal ที่สามารถคำนวณระดับสินค้าคงคลังสำรองได้โดยพิจารณาจากข้อมูล Purchase Lead Time, Historical Data, และ Current Inventory on-hand Level เพื่อช่วยให้การตั้งค่าระดับสินค้าสำรองเป็นไปตามกลยุทธ์ขององค์กร
การตั้งค่า Safety Stock Journal ใน Dynamics 365 Finance and Operations สามารถทำได้โดยเริ่มจากการกำหนดชื่อและประเภทของ Journal ให้เหมาะสมกับสินค้า เช่น
- Raw Material Safety Stock Journal – ใช้สำหรับวัตถุดิบที่ต้องเก็บสำรองเพื่อการผลิต
- Finished Goods Safety Stock Journal – ใช้สำหรับสินค้าสำเร็จรูปที่ต้องมีเพื่อรองรับคำสั่งซื้อของลูกค้า
- Spare Parts Safety Stock Journal – ใช้สำหรับอะไหล่หรือชิ้นส่วนที่ต้องมีเพื่อรองรับการซ่อมบำรุง
นอกจากการตั้งชื่อ Journal แล้ว ระบบยังต้องกำหนดวิธีการคำนวณระดับสินค้าสำรองให้เหมาะสมกับลักษณะของสินค้าและความต้องการขององค์กร โดยทั่วไป วิธีที่ใช้ในการคำนวณสามารถแบ่งออกเป็นสองแนวทางหลัก
- Average Issue Method
วิธีนี้ใช้ค่าเฉลี่ยของปริมาณสินค้าที่ถูกเบิกออกไปในช่วงเวลาหนึ่งเพื่อตั้งค่าระดับสินค้าสำรอง เหมาะกับสินค้าที่มีอัตราการใช้ที่สม่ำเสมอและมีแนวโน้มการใช้งานคงที่
- Service Level Method
วิธีนี้ใช้ระดับการให้บริการ (Service Level) ในการกำหนด Safety Stock เช่น หากต้องการให้มีสินค้าเพียงพอรองรับ 95% ของการใช้งานสินค้าขาออกทั้งหมด ระบบจะคำนวณระดับสินค้าสำรองที่เหมาะสมโดยพิจารณาจากแนวโน้มอุปสงค์และค่าความแปรปรวนของข้อมูลย้อนหลัง
เมื่อเลือกวิธีการคำนวณแล้ว ระบบต้องใช้ข้อมูลสำคัญ เช่น
- Purchase Lead Time – ระยะเวลาที่ใช้ในการสั่งซื้อสินค้าจากซัพพลายเออร์
- Historical Data (ย้อนหลัง 3 เดือนขึ้นไป) – ข้อมูลย้อนหลังที่ช่วยให้สามารถคำนวณค่าเฉลี่ยและแนวโน้มของอุปสงค์ได้
- Current Minimum On-Hand Inventory Level – ระดับสินค้าคงคลังขั้นต่ำที่กำหนดไว้ก่อนหน้า
เมื่อมีการตั้งค่าที่เหมาะสม ระบบจะสามารถอัปเดตระดับสินค้าสำรองได้โดยอัตโนมัติ ทำให้สามารถจัดการสินค้าคงคลังได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
Service Level Target ก็เป็นอีกหนึ่งค่าที่ต้องกำหนดให้ชัดเจน เช่น
90% หมายถึง ต้องมีสินค้าสำรองเพียงพอสำหรับ 90% ของความต้องการใช้สินค้า
95% หมายถึง ต้องมีสินค้าสำรองเพียงพอสำหรับ 95% ของความต้องการใช้สินค้า
99% หมายถึง ต้องมีสินค้าสำรองเพียงพอสำหรับ 99% ของความต้องการใช้สินค้า
หากต้องการเพิ่มระดับการให้บริการ (Service Level Target) ระบบจะต้องกำหนด Safety Stock ให้อยู่ในระดับที่สูงขึ้นเพื่อรองรับความไม่แน่นอนของตลาด
การอัปเดตค่าขั้นต่ำของ Safety Stock และการบริหารข้อมูลในระบบ
เมื่อกำหนดค่าต่าง ๆ แล้ว ระบบจะสามารถอัปเดตค่าขั้นต่ำของ Safety Stock โดยอัตโนมัติเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงของข้อมูล เช่น
- หากปริมาณการใช้สินค้าเพิ่มขึ้น ระบบจะเพิ่มระดับ Safety Stock ให้สูงขึ้น
- หากระยะเวลานำเข้าสินค้า (Lead Time) ยาวขึ้น ระบบจะเพิ่มระดับสินค้าสำรองให้มากขึ้นเพื่อรองรับเวลาการจัดส่งของซัพพายเออร์
- หากพบว่าสินค้าคงคลังมีปริมาณมากเกินไป ระบบจะลดระดับ Safety Stock ลงเพื่อลดต้นทุนการจัดเก็บ
ประโยชน์ของการตั้งค่า Safety Stock Journal และ Master Setup อย่างถูกต้อง
เมื่อระบบสามารถคำนวณและอัปเดตระดับสินค้าสำรองได้อย่างแม่นยำ จะช่วยให้ธุรกิจสามารถบริหารสินค้าคงคลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในตลาด
การตั้งค่า Safety Stock Journal และ Master Setup ที่ถูกต้องช่วยให้สามารถลดความเสี่ยงของสินค้าขาดแคลน ทำให้การดำเนินธุรกิจเป็นไปอย่างราบรื่น เพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการคำสั่งซื้อ และลดต้นทุนสินค้าคงคลังโดยไม่กระทบต่อความสามารถในการให้บริการลูกค้า
บทสรุป
การบริหารสินค้าคงคลังอย่างมีประสิทธิภาพเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถดำเนินงานได้ราบรื่น Safety Stock Journal ใน Dynamics 365 Finance & Operations เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถวางแผนซัพพลายเชนได้อย่างแม่นยำ ลดต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพในการตอบสนองความต้องการของตลาด
การตั้งค่าและใช้งานฟีเจอร์เหล่านี้อย่างถูกต้องช่วยให้สามารถลดความสูญเสีย เพิ่มความแม่นยำในการวางแผน และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันขององค์กรในตลาดที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ธุรกิจที่สามารถบริหารสินค้าคงคลังได้ดี ย่อมมีความได้เปรียบในการสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าและเพิ่มโอกาสทางธุรกิจได้อย่างยั่งยืน
Quick ERP เป็นผู้เชี่ยวชาญด้าน Microsoft Dynamics 365 พร้อมช่วยปรับแต่งและตั้งค่าระบบให้เหมาะกับธุรกิจของคุณ ตั้งแต่การกำหนดค่า Safety Stock ให้ตรงกับรูปแบบการดำเนินงานขององค์กร การตั้งค่าระบบให้คำนวณสินค้าสำรองอัตโนมัติ ไปจนถึงการวางแผนสินค้าคงคลังให้แม่นยำขึ้นด้วยข้อมูลเชิงลึก
หากต้องการให้ธุรกิจของคุณบริหารสินค้าคงคลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ ติดต่อ Quick ERP ได้เลย เราพร้อมช่วยให้คุณใช้ Microsoft Dynamics 365 Finance & Operations ได้เต็มศักยภาพ และปรับปรุงกระบวนการจัดการสต็อกให้ตอบโจทย์ธุรกิจของคุณมากที่สุด
Quick to Grow, Quick to Know
เพราะในโลกธุรกิจทุกวันนี้ “การรู้เร็ว” ไม่ใช่แค่ได้เปรียบ แต่คือหัวใจสำคัญของการเติบโตอย่างยั่งยืน
กิจกรรม Quicker Knowledge Sharing ประจำเดือนมีนาคม 2025 จัดขึ้นเพื่อเติมพลังให้ทุกคนด้วยการเรียนรู้ที่นำไปใช้ได้จริง พร้อมสร้างพื้นที่ให้ทุกทีมได้แชร์มุมมอง แลกเปลี่ยนประสบการณ์ และเปิดรับแนวคิดใหม่ที่ช่วยต่อยอดงานในมุมที่ไม่เคยคิดมาก่อน
บทความนี้เรียบเรียงขึ้นจากการแบ่งปันความรู้ของชาว Quicker ในงาน Knowledge Sharing ประจำเดือนมีนาคม 2025 เพื่อถ่ายทอดสาระที่น่าสนใจและต่อยอดสู่การพัฒนาการทำงานของทีมอย่างต่อเนื่อง
การเติบโตขององค์กรไม่อาจเกิดขึ้นจากแค่คนใดคนหนึ่ง แต่ต้องอาศัยการเรียนรู้ร่วมกัน
เมื่อทุกคนมีโอกาส “รู้” มากขึ้น องค์กรก็ “เติบโต” ได้เร็วขึ้น
Quick to Grow, Quick to Know วัฒนธรรมของการทำงานร่วมกันที่เราสร้างขึ้นในทุกเดือน
ก้าวเข้าสู่ Digital Business
ดูผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องได้ที่นี่